วันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2567

๑๐๘ มงคลธรรม คำสอนพระสงฆ์

๙๑.คำสอนหลวงปู่บุญจันทร์ กมโล
วัดป่าสันติกาวาส จ.อุดรธานี
ความเจ็บไม่มีอยู่ที่ใจของเรา 
ใจของเราไม่ใช่ความเจ็บ
ความเจ็บไม่ใช่ใจของเรานะ 
ใจของเราต่างหาก
ใจของเรามีหน้าที่รู้เท่านั้น 
เจ็บรู้ปวดรู้ ไม่เจ็บไม่ปวดก็รู้
นั่นใจของเรา 
น้อมเข้ามาอยู่ในความสงบจิตนั้นเวทนาจะเข้าไม่ถึงใจของเรานั้น 
ให้แยกออกจากกันแบบนี้
ไม่ว่ามันจะเจ็บจะปวด 
เราก็พยายามแยกออก
ให้รู้จักวิธีการแยกใจของเรา

๙๒.คำสอนหลวงปู่จันทร์ศรี จันททีโป 
วัดโพธิสมภรณ์ จ.อุดรธานี
ธรรมดาของชีวิต มีแล้วก็กลับไม่มีได้ 
โลกสลับกันไปมาเหมือนมืดแล้วสว่าง
อย่าเสียใจหรือดีใจกับสิ่งใดให้มากนัก

๙๓.คำสอนหลวงปู่เสน ปัญญาธโร
วัดป่าหนองแซง จ.อุดรธานี

ดูอย่างทองคำ มันก็อยู่ในดิน อยู่ในตมนะ
กว่าจะเอาขึ้นมาขัด มาหลอม
เป็นทองมีมูลค่าแลกเปลี่ยนได้
 แต่พอมันเป็นทองคำแล้ว
พอเอาไว้ในตม ในดิน ก็ไม่ติดกัน
 คนละส่วนเหมือนร่างกายเรา 
ใจกับกายคนละส่วนกัน
 เพราะฉะนั้นให้ขัดเกลาทั้งกายและจิต
ขัดแล้วขัดอีกจนไกลจากโลภ โกรธ หลง
ฟอกกาย ฟอกจิตจนเป็นพระธาตุเลยก็ยังได้

๙๔.คำสอนหลวงปู่จันทร์โสม กิตติกาโม
วัดป่าจันทรังสี จ.อุดรธานี

การภาวนา นอกจากให้ผลทางจิตใจแล้ว
ความเอ็นดู เมตตาสงสารคนอื่นก็เกิดขึ้น
ที่เราโกรธเกลียดพยาบาทก็หายไป
เห็นโทษก็สงสารเขา
มีธรรมะในใจ
ความอิจฉาพยาบาทเบียดเบียน
ก็ไม่เกิดขึ้น
อยู่หมู่คณะใดก็ไม่เกิดขึ้น

๙๕.คำสอนหลวงพ่อสุทัศน์ โกสโล
วัดกระโจมทอง จ.นนทบุรี

การมีสติอยู่ในกาย และการเคลื่อนไหวนั้น
ทุกครั้งที่มีสติรู้อยู่ ก็ถือได้ว่า
นั่นกำลังบำเพ็ญกุศล
กำลังปฏิบัติธรรมอยู่
เท่านี้ก็มีผลใหญ่อานิสงส์ใหญ่
ไม่ว่าจะอยู่วัด อยู่บ้าน อยู่ที่ทำงาน
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนๆ

๙๖.คำสอนหลวงปู่คำพอง ขันติโก

วัดป่าอัมพวัน จ.เลย
ทุกคนเป็นเหมือนกันหมด
อย่าไปคิดว่าเราดีกว่าเขา เลวกว่าเขา
ให้คิดว่าเสมอกันหมด เท่ากันหมด
เดี๋ยวเขาจะหาว่าเราเป็นคนหยิ่ง
ให้ยิ้มแย้มแจ่มใส ให้อดทน

๙๗.คำสอนหลวงปู่สังข์ สังกิจโจ
วัดป่าอาจารย์ตื้อ จ.เชียงใหม่
ผู้ใดที่มีศีลเป็นนิจ
ผู้ใดที่มีทานเป็นนิจ
ผู้ใดภาวนา พุทโธ เป็นนิจ
ผู้ใดสร้างจิตใจของตนให้สงบ
เรียกว่า จิตพบพระพุทธศาสนา

๙๘.คำสอนหลวงปู่บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต 
ที่พักสงฆ์สวนทิพย์ จ.นนทบุรี
มีสติ ฝึกภาวนา เป็นอริยทรัพย์ ติดตัวไปได้หลายหมื่นชาติ 
ส่วนทรัพย์สมบัติทางโลก ชาติเดียวยังเอาไปไม่ได้


๙๙.คำสอนหลวงพ่อวิชัยเขมิโย
วัดถ้ำผาจม จ.เชียงราย
จิตดีเป็นคน
จิตกังวลเป็นบ้า
จิตกล้าเป็นนักรบ
จิตสงบเป็นนักปราชญ์
จิตฉลาดเป็นบัณฑิต
จิตไม่ยึดไม่ติดเป็นนิพพาน

๑๐๐.คำสอนหลวงปู่ประสาร สุมโน
วัดป่าหนองไคร้ จ.ยโสธร
เราทุกคนเป็นพี่น้องกัน เป็นเพื่อนกัน
 เป็นผู้ร่วมสุข ทุกข์ ร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกัน
 ให้เราช่วยเหลือกัน อย่าทิ้งกัน

๑๐๑.คำสอนหลวงปู่สนธิ์อนาลโย
วัดพุทธบูชา กรุงเทพมหานคร
ถ้ายังมีความสงสัยอยู่ตราบใด
เชื่อว่ายังมีปัญหาอยู่ตราบนั้น
และยังมีความทุกข์อยู่ตราบนั้นด้วย
เพราะความสงสัยเป็นเหตุ
ฉะนั้น ขอให้พิจารณาหาเหตุแห่งความสงสัยนั้นให้พบ
และรีบดับความสงสัยนั้นด้วยการปฏิบัติชอบ
ความสงสัยก็จะดับไป และความสุขจะเกิดขึ้น

๑๐๒.คำสอนหลวงปู่พิศดู ธัมมจารี 
วัดเทพธารทอง จ.จันทบุรี  
ของที่เอาไปใช้แล้วรวยเป็นเศรษฐี
โดยที่ไม่ทำงานทำการ
มันไม่มีหรอก ถ้ามีของแบบนั้น
ประเทศไทยจะไม่มีใครยากจน
อยากรวยต้องขยันทำงาน เก็บเงิน อย่าขี้เกียจ

๑๐๓.คำสอนหลวงตาพวง สุขินทริโย
วัดศรีธรรมาราม จ.ยโสธร
คิดมากก็ทุกข์มาก
คิดน้อย ก็ไม่ใช่ไม่ทุกข์
เหตุแห่งทุกข์ ไม่ได้มาจาก
คิดมาก หรือ คิดน้อย
แต่มันอยู่ที่เราจะคิด

๑๐๔.คำสอนครูบา
พรหมา พรหมจักโก
วัดพระพุทธบาทตากผ้า จ.ลำพูน
การทำบาปหรือการทำบุญ
จะทำในที่ลับหรือในที่แจ้ง
หรือใครไม่รู้ไม่เห็น
ก็ตัวของเรา ใจของเรารู้เห็นเอง
เมื่อเป็นเช่นนี้
ก็กล่าวได้ว่าที่ลับไม่มีในโลกนี้
แม้ว่าจะลับตาลับหูคนอื่น
แต่เราก็รู้ เราก็เห็นคนเดียว

๑๐๕.คำสอนหลวงปู่วิไลย์ เขมิโย
วัดถ้ำพญาช้างเผือก จ.ชัยภูมิ
จงดูอยู่ในปัจจุบัน
ในปัจจุบันเดี๋ยวนี้
เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ วันนี้ ภพนี้ ชาตินี้
เมื่อเฮาเห็นในปัจจุบันนี้แล้ว
อนาคตไม่ต้องไปรู้กับมัน
มันก็เทียบกันได้หมด
อดีตกับอนาคตกับปัจจุบัน
มันเป็นอันเดียวกัน
คือ มันเป็นสภาพอันเดียวกัน
มีเกิดแล้วก็มีดับ

๑๐๖.คำสอนหลวงปู่กินรี จันทิโย
วัดกัณตะศิลาวาส จ.นครพนม
ความอยากไม่มีขอบเขต
ความอยากย่อมผลักดันให้คนวิ่งวุ่น
โลกถูกความอยากนำไป
ความอยากเป็นแดนเกิดของความทุกข์
๑๐๗.คำสอนหลวงปู่ทองรัตน์ กันตสีโล
 วัดป่ามณีรัตน์ จ.อุบลราชธานี
อยากเห็นพระอรหันต์บ้อ
ให้ไปโกนหัวมา ครูบาอาจารย์สิพาไปเบิ่ง 
ให้ทำตามครูอาจารย์บอก
ถ้าบ่ทำบ่เฮ็ดมัวกอดคัมภีร์อยู่ เห็นได้อย่างไร
ยังไม่นานดอก คัมภีร์จะล้มทับตาย

๑๐๘.คำสอนสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
วัดบวรนิเวศราชวรวิหารกรุงเทพมหานคร
กิเลสนั้นไม่ว่าความโลภ ความโกรธ ความหลง
ต้องแก้ของตนเอง ที่ตนเอง
ไปแก้ของผู้อื่น ที่ผู้อื่น
หาเกิดผลได้ไม่

๑๐๘ มงคลธรรม คำสอนพระสงฆ์

๘๑.คำสอนหลวงปู่บุญพินกตปุญโญ
วัดผาเทพนิมิตร จ.สกลนคร

ถ้าขาดภาวนา ปัญญาก็ไม่เกิด
การภาวนา ปัญญามันค่อยเกิด ค่อยมีขึ้น
ต้องอาศัยภาวนา เพราะทุกอย่างมันออกจากจิต

๘๒.คำสอนหลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ
วัดบางพระ จ.นครปฐม

ทำความดีแล้วตาย
ดีกว่าอยู่สบายแล้วไม่ทำประโยชน์

๘๓.คำสอนหลวงพ่อโอภาสี
วัดหลวงพ่อโอภาสี กรุงเทพมหานคร

ฉันน้อยทำความเพียรมาก
ขัดเกลากิเลสออกจากจิตใจ
ไม่คำนึงถึงลาภสักการะยศถาบรรดาศักดิ์
ขอกำจัดพญามาร และเสนามารน้อยใหญ่
ที่คอยมารบเร้าจิตใจให้ราบคาบสิ้นไปเท่านั้น

๘๘.คำสอนหลวงปู่อ่อนสา สุขกาโร
วัดป่าประชาชุมพลพัฒนาราม จ.อุดรธานี

ศาสนาไม่ได้อยู่แค่กับพระกับเณร
แต่อยู่กับผู้ปฏิบัติธรรมทั่วไป
ฆราวาส ญาติโยมก็ตาม
หากมีศีล ประพฤติธรรม
ศาสนาก็อยู่กับคนนั้นนั่นแหละ

๘๙.คำสอนหลวงปู่แบน ธนากโร 
วัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร

ผู้ใดคิดว่าเกิดมาแล้ว
จะต้องมีความสุขอย่างนั้นอย่างนี้
คนนั้นจะต้องผิดหวังอย่างที่สุด
เพราะความจริงแล้ว ในโลกนี้
เขาไม่มีความสุขให้แก่ใครเลย
จึงให้ปลดเปลื้องเครื่องรกรุงรัง
ในหัวใจเสียให้หมด
ปล่อยเสีย วางเสีย จะได้เบาสบายขึ้นบ้าง

๙๐.คำสอนหลวงปู่เลี่ยม ฐิตธัมโม
วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี

มนุษย์ส่วนใหญ่มัววุ่นวายอยู่กับเรื่องกาม
เรื่องกินและเรื่องเกียรติ
จนลืมนึกถึงสิ่งหนึ่ง
ซึ่งสามารถให้ความสุขแก่ตนได้ทุกเวลา
สิ่งนั้นคือ ดวงจิตที่ผ่องแผ้ว



๑๐๘ มงคลธรรม คำสอนพระสงฆ์

๖๑.คำสอนหลวงปู่คำพัน โฆสปัญโญ 
วัดธาตุมหาชัย จ.นครพนม 

ถ้าหลวงปู่ไม่อยู่แล้ว
ไม่ต้องแสวงหาครูบาอาจารย์ที่ไหน
ถ้าไม่แน่ใจในการปฏิบัติว่าถูกหรือผิด
ให้กลับไปหาพระไตรปิฎก
นั่นแหละคือบรมครูของเรา
มาเทียบเคียงในการปฏิบัติ 
ถ้ามีคนมาถามว่า
ท่านสายไหน(ธรรมยุต-มหานิกาย) 
ให้ตอบไปว่า สายพระพุทธเจ้า

๖๒.คำสอนหลวงพ่อเปลี่ยน ปัญญาปทีโป
วัดอรัญญวิเวก จ.เชียงใหม่ 

ความชั่วไม่มีในที่ลับที่แจ้ง
เราไปทำในที่ลับ ทำความชั่ว
มันก็บาปอยู่นั่นเท่าเดิม
เราไปทำอยู่ในที่แจ้งที่คนเห็น
มันก็บาปอยู่เท่าเดิม
ทำความชั่วทั้งหลาย
บุคคลกระทำด้วยกาย
หรือพูดด้วยวาจาก็ดี
คิดในใจของตนก็ดี
หากไปทำความชั่วอยู่ในที่ลับ
 มันก็บาปอยู่เท่าเดิมนั้นแหละ
คนกระทำความดี
ทำอยู่ในที่ลับ ไม่มีใครเห็นก็ดี
กราบไหว้บูชา ไหว้พระสวดมนต์ก็ดี
 รักษาศีลก็ดี เจริญภาวนาก็ดี
อยู่ในที่คนไม่เห็น อยู่ในห้อง ใครไม่เห็นก็ดี
มันก็เป็นความดีอยู่นั้นแหละ
ความชั่วก็เช่นกัน ความดีก็เช่นกัน

๖๓.คำสอนหลวงปู่สรวง
วัดไพรพัฒนา จ.ศรีสะเกษ

“ออยเตียนเมียนบาน”ให้ทานรวยได้
“ออยเตียนสรูล”ทำทานแล้วมีความสุข
“เทอเจิตออยสรูล”ทำใจให้มีความสุข
“เทอเจิตออยสะโลต”ทำใจให้บริสุทธิ์

๖๔.คำสอนหลวงปู่จาม มหาปุญโญ
วัดป่าวิเวกวัฒนาราม จ.มุกดาหาร

ความชั่วมันพาให้เนิ่นช้า
ช้าในหนทาง ล่าถอยต่อมรรค
แต่เด็ก ก็เมากิน เมาเล่น
หนุ่มสาว ก็เมาโลก เมาเพลิดเพลิน
ใหญ่ขึ้น เมาการ เมางาน
สร้างครอบครัว ก็เมาในลูกในหลาน
แก่เฒ่ามา ก็เมากายคร่ำคร่า กลัวตาย
โอกาสจะเพิ่มความดีมันมีน้อย
ฉะนั้น เดี๋ยวนี้ ให้ใส่ใจในการเพิ่มความดี

๖๕.คำสอนหลวงปู่เนียม ธัมมโชติ
วัดน้อย จ.สุพรรณบุรี

รูปร่างน่ะคุณมันเป็นอนัตตา เป็นอนิจจัง
มันหาความเที่ยงไม่ได้
มันจะดำ เราก็ห้ามมันไม่ให้ดำไม่ได้
มันไม่มีอะไรจะห้ามได้เลยนี่คุณ
พระพุทธเจ้าท่านทรงกล่าวว่า
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมันเป็นอนิจจัง

๖๖.คำสอนหลวงปู่บัว สิริปุณโณ
วัดป่าหนองแซง จ.อุดรธานี

ผีมันนอนดูเราทำบาป
เราฆ่าหมูฆ่าไก่ให้มันกิน สังเวยมัน
มันไม่มีบาป เพราะมันไม่ใช่คนทำ
เราเองเป็นคนฆ่า บาปกรรมก็ตกอยู่ที่เรา

๖๗.คำสอนหลวงปู่เพ็ง พุทธธัมโม
วัดป่าสามัคคีธรรม จ.ร้อยเอ็ด

คนสมัยนี้ ความดีมันไม่ค่อยอยากทำ
แต่พออยากได้ มันก็อยากได้ลัดๆ เลย

๖๘.คำสอนหลวงปู่บุญเพ็ง เขมาภิรโต
วัดถ้ำกลองเพล จ.หนองบัวลำภู

มันพ้นความตายไปไม่ได้หรอก
เเม้เเต่สัตว์มันยังตาย
มันอยู่ในป่าในภูในเขา มันก็ยังตาย
 เราจะไปอยู่ที่ไหนก็ต้องตาย
เวลาไม่รอใคร ความตายอยู่เบื้องหน้า 
จงอย่าประมาทเลย

๖๙.คำสอนหลวงพ่อเดิม พุทธสโร
วัดหนองโพ จ.นครสวรรค์

ยิ่งเกลียดก็ยิ่งเข้าใกล้
ยิ่งรักก็ยิ่งห่างไกล
จำไว้ให้ดีนะคุณ
ยิ่งเกลียดเขา เรายิ่งต้องแผ่เมตตาให้
 แล้วความเกลียดมันจะหายไป
ความรักมันจะเกิดขึ้นตรงนี้

๗๐.คำสอนหลวงพ่อแช่ม
วัดไชยธาราราม จ.ภูเก็ต

จงประพฤติตนเป็นคนดี
มีจิตใจเมตตา
เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่เพื่อนมนุษย์

๗๑.คำสอนหลวงปู่พรหม จิรปุญโญ
วัดประสิทธิธรรม จ.อุดรธานี

คนเราเกิดมาทุกรูปทุกนาม
รูปสังขารเป็นของไม่เที่ยง 
เกิดขึ้นแล้วล้วนตกอยู่ในกองทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น 
ไม่ว่าพระราชามหากษัตริย์ พระยานาหมื่น
คนมั่งมี เศรษฐี และยาจก 
ล้วนตกอยู่ในกองทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น 
มีทางพอจะหลุดพ้นได้ คือ
ทำความเพียรเจริญภาวนา 
อย่าสิมัวเมาในรูปสังขารของตน
มัจจุราชมันบ่ไว้หน้าผู้ใด 
ก่อนจะดับไป
ควรจะสร้างความดีเอาไว้

๗๒.คำสอนหลวงปู่ทิม อัตตสันโต
วัดพระขาว จ.พระนครศรีอยุธยา 

วัตถุมงคลทั้งหลายล้วนเข้มขลัง
ด้วยอํานาจแห่งพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ
แต่ไม่ว่าใครจะมีพระเครื่องที่ดีเด่นดังเพียงใดก็ตาม
ที่สุดแล้วก็ไม่สามารถหนีความตายไปได้
เพราะนี่คือสัจธรรมของชีวิต

๗๓.คำสอนหลวงปู่อินทร์ถวาย สันตุสสโก
วัดป่านาคำน้อย จ.อุดรธานี

แข่งกันดี ได้ดีบางคน
แย่งกันดี ไม่ได้ดีซักคน
แบ่งกันดี ได้ดีทุกคน

๗๔.คำสอนหลวงปู่ท่อน ญาณธโร
วัดศรีอภัยวัน จ.เลย

อย่ามีอคติ
อย่าลำเอียงกับใครเลย
 และอย่าขึ้นๆ ลงๆ
อย่าเอารัดเอาเปรียบกันอีกเลย

๗๕.คำสอนหลวงปู่ขาน ฐานวโร 
วัดวชิรทรงธรรมพัฒนา จ.เชียงราย

ไปไหนไม่เท่ากับอยู่วัด
อยู่วัดไหนก็ไม่เท่าอยู่วัดตัวเอง

๗๖.คำสอนหลวงปู่มหาเจิม ปัญญาพโล
วัดสระมงคล จ.นครปฐม

สัตว์ทั้งหลายติดในความสุข
หนอนในส้วมก็ติดอยู่ในสุขของหนอน
ไม่ต้องการออกจากส้วมไป
ผู้มีปัญญาแก่กล้า ไม่ติดในสุข
เพราะเห็นว่ามันเป็นทุกข์ทั้งนั้น
จึงเพียรพยายามละกิเลสของตน

๗๙.คำสอนหลวงปู่ทา จารุธัมโม
วัดถ้ำซับมืด จ.นครราชสีมา

สติตั้งที่ใจ ดูอยู่ที่ใจ มองอยู่ที่ใจ
เห็นอยู่ที่ใจ เพ่งอยู่ที่ใจ กำหนดอยู่ที่ใจ
สติตั้งที่ใจ ดูอยู่ที่ใจ กำหนดอยู่ที่ใจ พิจารณาอยู่ที่ใจ
อาริยาบถ ๔ยืน เดิน นั่ง นอน
สติอันเดียว ก็ไม่หลาย

๘๐.คำสอนหลวงปู่บุญหนา ธัมมทินโน
วัดป่าโสตถิผล จ.สกลนคร

ให้เป็นผู้มีสติ ระลึกรู้ในกาย
สติระลึกรู้ในวาจาคำพูด
สติระลึกรู้ในใจ
 เมื่อสติรู้ซักซ้อมอยู่ภายในกายวาจาและใจแล้ว
ทำ พูด คิด ถูกและผิด
ก็ระลึกรู้อยู่ ปรับปรุงอยู่อย่างนี้เสมอ

๑๐๘ มงคลธรรม คำสอนพระสงฆ์

๔๑.คำสอนหลวงปู่จันทา ถาวโร
วัดป่าเขาน้อย จ.พิจิตร
บุคคลทั้งหลาย ทั้งมนุษย์และสัตว์เดรัจฉานก็ดี
เมื่อมาเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
และศีลธรรมเป็นเครื่องประดับ

 เป็นเครื่องล้างบาปแล้ว
อบายไม่ได้ไป ไฟนรกไม่ได้ไหม้

 สิ้นแสนกัปดับขันธ์แล้ว
จะมีพระนิพพานเป็นที่ไปเบื้องหน้า

๔๒.คำสอนหลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร
วัดป่าหมู่ใหม่ จ.เชียงใหม่
ผู้ที่ทำบุญ คือ ผู้มีบุญจึงได้ทำบุญ 
บุญทำให้เกิดความสุขกายสบายใจ 
ผู้มีบุญจึงมีความสุขกายสบายใจ
ในชาตินี้และชาติหน้า
ผู้ไม่มีบุญจึงไม่ได้ทำบุญ 
เมื่อไม่ได้ทำบุญ จึงไม่เกิดบุญ

๔๓.คำสอนหลวงปู่ผาง จิตตคุตโต
วัดอุดมคงคาคีรีเขต จ.ขอนแก่น
คนเฮานี้มีเกิดกะมีดับ 
ถ้าบ่มีเกิดกะบ่มีดับ
อันนี้มันเป็นของคู่กัน 
ไผเฮ็ดไผทำกะได้แก่ผู้นั้น
ให้พากันเฮ็ดพากันทำเอาเด้อ


๔๔.คำสอนพ่อท่านคล้าย จันทสุวัณโณ
วัดสวนขัน จ.นครศรีธรรมราช
ทุกคนเกิดมาในโลกนี้แล้ว
มีโอกาสทำชั่วได้หมด
ก็ควรหาโอกาสเสริมสร้างความดีเอาไว้บ้าง
คนทำชั่วนั้น ก็เพราะไม่มีสติไม่มีปัญญา
จึงเป็นเหตุให้ไปก่อทุกข์ภัยมาสู่ตนเอง

๔๕.คำสอนหลวงปู่สาม อกิญจโน
วัดป่าไตรวิเวก จ.สุรินทร์ 
เรื่องเวรกรรม ลูกเอ๋ย มันเป็นกรรมนะ
ต้องใช้เวรกรรม ยุติธรรมแล้ว
 แม้พระพุทธเจ้าของเราลูกเห็นไหม
พระองค์บริสุทธิ์แค่ไหน
พระองค์ยังต้องประสบในเรื่องเช่นนี้นะ
ฉะนั้น จงปล่อยไปตามกรรมที่ทำไว้แต่หนหลัง
ปัจจุบันทำจิตใจของตนให้บริสุทธิ์ก็พอแล้ว
ทำอย่างไรหนอ จึงจะพ้นทุกข์นี้ไปได้เท่านั้น

๔๖.คำสอนหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต จ.หนองคาย
ความตั้งใจจริง และหนักแน่น
ความดีจึงเต็มบริบูรณ์
พึงพากันตั้งอกตั้งใจ
 ทำอะไรนี่มันต้องตั้งใจ
มันจึงสำเร็จลุล่วงไปได้
เราทำอะไรลงไป
ถ้าไม่ตั้งใจแล้วไม่สำเร็จแน่
เพราะว่าอุปสรรคมันย่อมมี 
อุปสรรคนี่แหละ
ทำให้คนเรานั่นเป็นคนดีได้
หรือเป็นคนชั่วได้
ได้ทั้งสองทาง
ถ้าผู้ใดฝ่าฟันอุปสรรคไปได้
ก็เป็น “ผู้ดี” ได้
 มีสติมีปัญญา
ถ้าผู้ใดฝ่าฟันอุปสรรคไปไม่ได้
ก็ถอยหลังเข้าคลอง 
กลายเป็น “คนเลว” ไป
เป็นอย่างนั้น

๔๗.คำสอนหลวงปู่หลวง กตปุญโญ
วัดคีรีสุบรรพต จ.ลำปาง
บาปเปรียบเหมือนไฟ
บุญเปรียบเหมือนน้ำ 
น้ำเอาไปอาบเวลาไหนก็เย็นเวลานั้น 
ไฟไปจับเวลาไหนก็ร้อนเวลานั้น

๔๘.คำสอนหลวงปู่สิมพุทธาจาโร
วัดถ้ำผาปล่อง จ.เชียงใหม่
มนุษย์คนเราที่เกิดมาในโลกนี้
ไม่เคยไม่มีใครถูกนินทาไม่มีในโลก
แม้นว่า”ทำดี”เขาก็นินทาว่า”ชั่วได้”
แม้นว่า”ทำชั่ว”เขาก็ยกย่องว่า”ดีได้”
สรรเสริญเยินยอว่าดีได้
เราอย่าไปสนใจ ให้มาเอาบุญกุศล
อันมีอยู่แล้วในใจของเราดีกว่า

๔๙.คำสอนหลวงปู่ศรี มหาวีโร
วัดประชาคมวนาราม จ.ร้อยเอ็ด
จงมองตนเองเพื่อแก้ไข
และมองคนอื่นเพื่อให้อภัย
จะอยู่สุขใจและเป็นอิสระ

๕๐.คำสอนหลวงปู่เขียน ฐิตสีโล
วัดรังสีปาลิวัน จ.กาฬสินธุ์
พอใจเท่าที่ได้ ยินดีเท่าที่มี
จิตจะสงบลงทันที จิตจะเย็นลงทันที
หายความร้อน หายความกระวนกระวาย
จิตจะสบายได้รับความสุข
ใจของเราก็ผ่องขึ้นมา ใสขึ้นมา

๕๑.คำสอนหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ
วัดป่านิโครธาราม จ.อุดรธานี
ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้
เป็นของเย็น
เป็นของบริสุทธิ์
บุคคลผู้มีปัญญา
จะไม่ปฏิเสธธรรมของพระพุทธเจ้า
เพราะธรรมถ้าอยู่ในจิตใจของผู้ใด
ผู้นั้นย่อมมีความสุขความเจริญ

๕๒.คำสอนหลวงปู่กงมา จิรปุญโญ
วัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร
การที่เราต้องการอยากพ้นทุกข์
เราต้องเข้าหาทุกข์ ถ้าเรากลัวทุกข์
เราก็พ้นทุกข์ไม่ได้

๕๓.คำสอนหลวงพ่อเฟื่อง โชติโก
วัดธรรมสถิต จ.ระยอง
คนอื่นเขาด่าเรา เขาก็ลืมไป
แต่เราไปเก็บมาคิด
เหมือนเขาคายเศษอาหารทิ้งไปแล้ว
เราไปเก็บมากิน แล้วจะว่าใครโง่

๕๔.คำสอนหลวงพ่อลี ธัมมธโร
วัดอโสการาม จ.สมุทรปราการ
คนที่จิตยังไม่สูงเต็มที่
เมื่อใครเขาด่าว่าอะไรก็มักเก็บไปคิด
คนเราโดยมากสำคัญตนว่าเป็นคนฉลาด
แต่ชอบกลืนกินอารมณ์ที่ชั่ว

๕๕.คำสอนท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต
วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพมหานคร
คนที่นินทาผู้อื่นเป็นปกติ
ไม่ยกย่องชมเชยว่าใครดีเลยนั้น
คนชนิดนั้น เป็นผู้มีคุณสมบัติ (ที่ดี)
อยู่ในตัวน้อยที่สุด

๕๖.คำสอนหลวงปู่คำดี ปภาโส
วัดถ้ำผาปู่ จ.เลย
ความจริงจิตใจของเราเองเป็นตัวก่อทุกข์
สังเกตได้จากพระอรหันตสาวกทั้งหลาย
เมื่อท่านมีความรู้ มีปัญญาคุ้มครองรักษาใจท่านดีแล้ว
ท่านก็ไม่มีทุกข์ เพราะท่านไม่ปรารถนาในสิ่งต่างๆ
เมื่อเราประสบกับรูป กลิ่น เสียง หรืออื่นๆ
ก็เพราะใจเรามีตัณหา ปรารถนา ทะเยอทะยาน
ยินดียินร้ายในสิ่งเหล่านั้น ทำให้เราเป็นทุกข์ 

๕๗.คำสอนหลวงปู่วัน อุตตโม
วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม จ.สกลนคร
สิ่งไหนที่มีคุณ สิ่งนั้นก็ย่อมมีโทษ
เราต้องมองเห็นโทษด้วย เห็นคุณด้วย
อย่างกามคุณทั้งหลาย ท่านก็เรียกว่า “กามคุณ”
เพราะมีคุณอยู่ แต่เราก็ต้องคิดถึงโทษของกามด้วย
กามโทษก็ยังมี ต้องมาคิดว่า โทษ กับ คุณนั้น ส่วนไหนมากน้อยกว่ากัน
ถ้าคุณน้อย โทษมาก จงสละส่วนน้อยนั้นไปเสีย

๕๘.คำสอนหลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม
วัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา
กายนี้คือก้อนทุกข์
กายนี้เป็นที่หมายให้พ้นเสียจากทุกข์   
ฝึกสติปัญญาให้ดี
แล้วมาพิจารณากายนี้ให้แจ้ง
ก็จะพ้นทุกข์ได้

๕๙.คำสอนหลวงปู่สิงห์ทอง ธัมมวโร
วัดป่าแก้วชุมพล จ.สกลนคร 
พวกเราท่านทุกคนมีสิทธิ์
ที่จะประพฤติปฏิบัติได้
อย่าไปอ้างกาล อ้างเวลาว่า
วันนี้ฝนตกทำไม่ได้
วันนี้เวลาใดเราควรจะทำ
ทำกันไป ชำระกันไป
เพราะกิเลสมันไม่หากาลหาเวลา
มันเกิดขึ้นได้ทุกระยะ

๖๐.คำสอนหลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ
วัดป่าเขาน้อย จ.บุรีรัมย์
เราคนเดียว เที่ยวรัก เที่ยวโกรธ
จะไปโทษใคร แก้อะไรใครได้
ก็ไม่เท่าแก้ใจตน เพียงคนเดียว


๑๐๘ มงคลธรรม คำสอนพระสงฆ์

๒๑.คำสอนพระอาจารย์สมภพ โชติปัญโญ
วัดป่าไตรสิกขาพลามลตาราม จ.สกลนคร
ยิ่งโง่ยิ่งกล้าทำชั่วอย่างองอาจ
ยิ่งฉลาดยิ่งขี้ขลาดทำความเลวทราม

๒๒.คำสอนหลวงปู่ชอบ ฐานสโม
วัดป่าสัมมานุสรณ์ จ.เลย
ให้พากันสร้างความดีงาม
ความดีงามทั้งหลายที่เราสร้างนี้แหละ
เก็บเล็กผสมน้อยไปทุกวัน
เข้าในจิต ไม่สูญหาย
ถ้าใจมีธรรมเป็นที่อยู่แล้ว
จะอยู่ที่ไหนก็อยู่ได้
ไม่มีความเดือดร้อน
แต่ถ้าใจนั้นไม่มีธรรมเป็นเครื่องอยู่แล้ว
ต่อให้นั่งนอนอยู่ในปราสาททอง
ก็ไม่มีความสุข
เพราะไฟกิเลสมันเผาผลาญหัวใจ
ให้ได้รับความเดือดร้อนอยู่มิเว้นวาย

๒๓.คำสอนหลวงปู่ฝั้น อาจาโร
วัดป่าอุดมสมพร จ.สกลนคร
ถ้าอะไรเราไม่ได้ทำไว้
อยากได้ มันก็ไม่ได้
ถ้าได้ทำไว้แล้ว สร้างไว้แล้ว
ไม่อยากได้มันก็ได้
นี่แหละ บารมี

๒๔.คำสอนหลวงปู่บุดดา ถาวโร
วัดกลางชูศรีเจริญ จ.สิงห์บุรี
ธรรมะไม่มีสัตว์ ไม่มีคน 
อยู่กับคนก็ทุกข์น่ะซิ 
อยู่หลายคนก็ทะเลาะกัน 
อยู่คนเดียวก็ทะเลาะกับตัวเอง 
ทะเลาะกับมิจฉาทิฏฐิ 
อยู่กับธรรมะไม่ทะเลาะกับใคร

๒๕.คำสอนหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย
สมบัติที่มนุษย์ต้องการ
ไม่ทราบว่าจะกอบโกยเอาไปถึงไหน
ได้มาก็เพียงแต่เอาเลี้ยงชีวิตเท่านั้น
เลี้ยงชีวิตให้นานตายหน่อย
นั่นละ ประโยชน์ของมนุษย์
สมบัติเพียงแค่นั้นแหละ

๒๖.คำสอนหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี
หัวใจเป็นมงคลที่สำคัญที่สุด
ถ้าหัวใจไม่เป็นมงคลเสียแล้ว
มีวัตถุมงคลมากมายเพียงใด
ก็ไม่มีความหมาย

๒๗.คำสอนครูบาศรีวิชัย
วัดบ้านปาง จ.ลำพูน
การรักษาศีล ต้องรักษาให้จริงจัง
หมั่นเพียรเหมือนแท่นหินศิลาใหญ่
โดนแดดโดนฝน โดนลม ก็ไม่หวั่นไหว
ให้ตั้งมั่นเหมือนแท่นศิลา
ที่เป็นที่มาของคำว่าศีล

๒๘.คำสอนหลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม
วัดอรัญญวิเวก จ.นครพนม
บาปก็กระทำเอาแหละ
คือทำชั่วมันจึงเป็นบาป
ใครอยากดีก็ทำดีเอาไม่ไปทำชั่ว
ความชั่วมันก็เลยไม่เกิดขึ้นถ้ายังทำชั่วอยู่
มันก็ไม่มีความดีนั่นแหละ
ศาสนามีเท่านั้นแหละ
มีดีกับชั่วเท่านั้นมันอยู่ที่ไหนก็อยู่ที่ตัวคน
ไม่ได้อยู่ที่ตัวคนอื่นหรอก

๒๙.คำสอนหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ
วัดสะแก จ.พระนครศรีอยุธยา
จะเอารวยน่ะ จะหามายังไงก็ทุกข์
จะรักษามันก็ทุกข์ หมดไปก็ทุกข์อีก
กลัวคนจะจี้จะปล้นไป
คิดดูเถอะ มันไม่จบหรอก
มีแต่เรื่องทุกข์
เอาดี ดีกว่า

๓๐.คำสอนหลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท
วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม จ.ปทุมธานี
ชีวิตนี้เป็นประดุจผ้าขี้ริ้วเป็นเหมือนถังขยะ 
ที่คอยเก็บอานิสงส์ของกรรมดีชั่วแล้วก็ให้ผลแก่เราเป็นผู้เสวย
ถ้าเรานำชีวิตที่เราพิจารณาเห็นด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว
น้อมพิจารณาให้เกิดธรรมะขึ้นภายในใจ
ธรรมที่เกิดขึ้นภายในใจนั่นแหละ
จะเป็นเหมือนผ้าขี้ริ้วห่อทองขึ้นมาทันที
เพราะร่างกายของคนนี้ไม่มีค่า
มันมีค่าอยู่ที่หัวใจที่มีธรรม
รูปธรรมทุกๆ อย่างจึงเป็นผ้าขี้ริ้ว
นามธรรมคือหัวใจที่ฝึกปฏิบัติ
จนได้เห็นธรรมตามความสามารถ
นั่นแหละเป็นทอง คือธรรมสมบัติอันล้นค่า
ปรากฏเด่นขึ้นมาเป็นสักขีพยาน

๓๐.คำสอนหลวงปู่คำคะนิง จุลมณี
วัดถ้ำคูหาสวรรค์จ.อุบลราชธานี
อด อัด อุด บริสุทธิ์ในธรรม คือ การปฏิบัติส่งเสริม
คุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
รู้ซึ้งถึงธรรมของพระพุทธองค์ว่า
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว 
เป็นตัวธรรมะที่พาให้เห็นธรรมอันแท้จริง

๓๑.คำสอนหลวงปู่ศุข เกสโร
วัดปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท
เรามาทำมาหากิจ
ก็จงทำมาหากิจโดยซื่อสัตย์สุจริต
มีความอุตสาหะหมั่นเพียร
อย่าได้คิดเบียดเบียนคนอื่น
ให้เกิดความเดือดร้อน

๓๒.คำสอนหลวงพ่อบุญเรือง สารโท
วัดพิชโสภาราม จ.อุบลราชธานี
พวกเราทั้งหลายมีรูป มีนาม
ก็ขอให้ใช้รูป ใช้นามให้เป็น
คนที่ใช้รูป ใช้นามไม่เป็น
ก็เสียทั้งทุน สูญทั้งกำไร
แต่ผู้ที่มีรูป มีนามแล้ว
ใช้รูป ใช้นามให้เป็น
ได้ประโยชน์โสตถิผล
ได้ทั้งทุน ได้ทั้งกำไร

๓๓.คำสอนหลวงปู่ทวด
วัดช้างให้ จ.ปัตตานี
พูดมาก เสียมาก
พูดน้อย เสียน้อย   
ไม่พูด ไม่เสีย   
นิ่งเสีย โพธิสัตว์

๓๔.คำสอนสมเด็จโต พรหมรังสี
วัดระฆังโฆสิตาราม กรุงเทพมหานคร
กรรมที่ทำด้วยเจตนาไม่ว่าดีหรือชั่ว
ย่อมมีผลต่อผู้กระทำทั้งสิ้น
ไม่มีพรหมเทพองค์ใด 
จะช่วยเจ้าลบล้างกรรมนั้นได้
เจ้าจะต้องช่วยเหลือตนเอง
ด้วยการสวดมนต์ ภาวนา แผ่เมตตา
ผลแห่งบุญอันเป็นกรรมปัจจุบันจะช่วยเจ้าเอง

๓๕.คำสอนหลวงพ่อแพ เขมังกโร
วัดพิกุลทอง จ.สิงห์บุรี
ผู้ปฏิบัติธรรม ตั้งตนอยู่ในกรอบแห่งศีลแล้ว
ก็ย่อมไม่ต้องเดือดร้อนเพราะศีลของตน
ยังบุคคลผู้มั่นในศีลให้พ้นจากทุกข์โทษเวรภัยทั้งหลาย
ก็จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย

๓๖.คำสอนหลวงปู่บุญมา ฐิตเปโม
วัดสิริสาลวัน จ.หนองบัวลำภู 

เกิดมามีจิตใจย่อมปฏิบัติได้เสมอภาคทุกคน
อย่าไปติดสิ่งภายนอกเพียงอย่างเดียว
จิตก็จะก้าวหน้าได้แน่นอน

๓๗.คำสอนหลวงปู่สังวาลย์เขมโก
วัดทุ่งสามัคคีธรรม จ.สุพรรณบุรี
สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบคือ จิตเป็นผู้เห็น
จิตจะเป็นผู้เห็น จิตจะเป็นผู้รู้อยู่ทุกขณะ

๓๘.คำสอนหลวงพ่อสนอง กตปุญโญ
วัดสังฆทาน จ.นนทบุรี
บางคนทำความดีเพื่อให้คนอื่นยกว่าตัวเองเก่ง ดี ฉลาด
อยากให้คนอื่นชมถึงจะพอใจมีความสุข
แต่ความดีแบบนั้นมันอยู่ที่ปากคน
ไม่ได้อยู่ที่ตัวเองความดีที่ไม่อวดคน
ต้องดีที่ใจ คือเพียรระวังรักษาใจตัวเอง

๓๙.คำสอนหลวงปู่เพียร วิริโย 
วัดป่าหนองกอง จ.อุดรธานี
หนทางมันมีอยู่ สวรรค์ นิพพานรออยู่
ขาดอยู่แต่ผู้เอาจริง ให้รีบภาวนา
ดูที่ใจอย่าส่งออกนอกส่องดูที่ใจอย่างเดียว
ดูอะไรๆ ก็ไม่เหมือนดูที่ใจ
เราพอใจ ชอบไม่ชอบ มันก็อยู่ที่ใจ
กายไม่เกี่ยว กายมันก็เป็นของมันเช่นนั้นแหละ
เกิด แก่ เจ็บ ตาย
แต่ใจมันไม่เจ็บ ไม่ตายด้วย
ฉะนั้น ให้ดูที่ใจ ไม่ต้องไปดูที่อื่น

๔๐.คำสอนหลวงปู่หล้า เขมปัตโต
วัดบรรพตคีรี จ.มุกดาหาร
ใครๆ ในโลกนี้ก็เหมือนกัน
ถ้าหากเห็นว่าโลภ โกรธ หลง
มันเป็นของอร่อยอยู่มันก็ลดละไม่ได้ 
มันต้องไปสังเวยเป็นอาหารของกิเลสต่อไป 
เรื่องความวู่วามโผงผางนี้
พระบรมศาสดากล่าวว่า เป็นตามนิสัยก็มี 
เพราะบางคนอุปมาเหมือนน้ำใสกลางขุ่นขอบ
คือมารยาทไม่งามพูดจาโผงผาง
แต่จิตใจเป็นธรรมอยู่ 
บางคนเหมือนน้ำใสทั้งขอบทั้งกลาง
หมายความว่า จิตใจก็เป็นธรรม มารยาทก็เป็นธรรม
ส่วนบางคนที่เหมือนน้ำขุ่นทั้งกลางทั้งขอบ
ก็หมายความว่าจิตใจก็ไม่เป็นธรรม
คำพูดก็ไม่เป็นธรรม


๑๐๘ มงคลธรรม คำสอนพระสงฆ์

๑๐๘ มงคลธรรม คำสอนพระสงฆ์

๑.คำสอนหลวงพ่อจง พุทธัสสโร
วัดหน้าต่างนอกจ.พระนครศรีอยุธยา
อย่ามีความหลงใหลใฝ่ฝันในชีวิต
จงอย่าคิดว่าเราไม่ตาย เราไม่แก่
ให้คิดถึงอริยสัจเสียก่อนเป็นอันดับแรกโดยเฉพาะทุกขสัจ
พระพุทธเจ้าทรงสอน ไม่ว่าสอนใครทั้งหมด 
เมื่อขึ้นสุดท้ายท่านก็ลงอริยสัจ
คิดให้เข้าใจเพียงแค่ทุกขสัจอย่างเดียวให้เข้าใจจริงๆ
ถ้าเห็นทุกข์ตัวเดียว อีก ๓ ตัวปรากฏ

๒.คำสอนหลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ
วัดป่าศิลาพร จ.ยโสธร
คนเราทุกวันนี้ ถ้าเป็นคนที่มีธรรม
จะคิด จะพูด จะทำอะไรก็เป็นธรรม
แต่ถ้าเป็นคนไม่มีธรรม
เอาเรื่องโลกมาคิด มาพูด มาทำ
ก็มีแต่โลกทั้งนั้น
ให้เราทั้งหลายช่วยกันทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา
เห็นการกระทำอะไรที่ไม่ดีให้ช่วยกันบอกสอนแก้ไขให้ถูกให้ควร
อย่าปล่อยให้คนทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่าพึ่งเชื่อในสิ่งที่อาตมาพูด
ว่าดี ว่าถูก ว่าควรแล้วให้นำไปไตร่ตรองดูเสียก่อน
หากพิจารณาว่าดี ว่าถูก ว่าควร แล้วจึงค่อยเชื่อ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสสอนไว้
พ่อแม่ครูบาอาจารย์ก็เคยเตือนให้พึงระวัง
เรื่องอายตนะ ๖ กาย ใจ ตา หู จมูก และลิ้น
ไม่ให้นำสิ่งไม่ดีเข้ามา ให้คะลำ
ภาษาอีสาน คะลำ หมายถึง หลีกเลี่ยง
อย่าเอาสิ่งไม่ดีเข้ามาในตัวหากรู้ว่าไม่ดีให้หลีกหนีให้ไกล

๓.คำสอนหลวงพ่อเงิน พุทธโชติ
วัดบางคลานจ.พิจิตร
การศึกษากรรมฐานควรทำให้แจ้งและถูกต้อง
ตามหลักธรรมวินัยเพราะเมื่อคิดผิด สอนผิด
พิจารณาด้วยสัญญาผิดๆก็จะทำให้เสียเวลา
ทั้งยังเป็นผู้ทำลายคำสอนของพระพุทธเจ้าอีกด้วย

๔.คำสอนหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
วัดป่าสุทธาวาส จ.สกลนคร
คิดอย่างไร..เชื่ออย่างนั้น
เชื่ออย่างไร..ทำอย่างนั้น
ทำอย่างไร..นิสัยอย่างนั้น
สันดานอย่างไร..ได้รับชะตากรรมอย่างนั้น

๕.คำสอนหลวงพ่อสด จันทสโร
 วัดปากน้ำกรุงเทพมหานคร
ถ้าพบกับมารผู้ล้างผลาญ
จะ “สู้” หรือ จะ “หนี”
ถ้า “สู้” มีคติเป็น ๒คือ ไม่แพ้ ก็ ชนะ
ถ้า “หนี” มีคติเดียว คือ แพ้
แต่ถ้า “ไม่สู้” และ “ไม่หนี” ทำดีเรื่อยไป
มีคติเดียว คือ “ชนะ”

๖.คำสอนหลวงปู่หลุย จันทสาโร
วัดถ้ำผาบิ้ง จ.เลย
โลกคือหมู่สัตว์ มนุษย์ทุกชาติ ทุกภาษาที่อาศัยอยู่ในโลกเวลานี้
มาจากภพต่างๆ ด้วยกรรมดีและกรรมชั่วมาเกิดเลวและประณีต
แล้วแต่กรรมของสัตว์ตบแต่งสัตว์นั้นๆ
สัตว์เหล่านั้นจะเป็นพวกเปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานในประเภทไหนก็ตาม
ต้องมาทำความชั่วในมนุษย์ทั้งนั้นสุคติ จนถึงพระนิพพาน
ก็มาสร้างในมนุษย์เช่นเดียวกัน
มนุษย์ เป็นที่ประชุมแห่งรถไฟสายต่างๆ 
บุคคลจะไปจังหวัดใดๆ
ก็ต้องมาประชุมที่ต้นทางทั้งนั้น

๗.คำสอนหลวงปู่ดูลย์ อตุโล
วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์
คิดเท่าไรก็ไม่รู้
ต่อเมื่อหยุดคิดได้จึงรู้    
แต่ต้องอาศัยความคิดนั้นแหละจึงรู้

๘.คำสอนหลวงปู่โต๊ะ อินทสุวัณโณ
วัดประดู่ฉิมพลี กรุงเทพมหานคร
โลกนี้เขาก็เป็นของเขาอย่างนี้แหละไม่มีอะไรที่ยึดถือได้ว่า แน่นอน
ถ้าคนเรามีศรัทธาว่าพระพุทธองค์ท่านหยั่งรู้ลึกซึ้งถึงโลกนี้
เป็นอย่างดีด้วยพระปัญญาคุณของพระองค์ท่านเอง
พระพุทธองค์ทรงสงสารเมตตาสัตว์โลก
ว่าเวียนวนอยู่ในความทุกข์ทรมานไม่มีที่สิ้นสุด
พระพุทธองค์ได้ทรงพบทางพ้นความทุกข์
โดยสิ้นเชิงแล้วด้วยพระปัญญาคุณ
ทรงพระเมตตาบอกทางพ้นความทุกข์
ให้แก่ทุกๆคนจะไปหาที่ไหนอีกล่ะ
ผู้ที่เปี่ยมล้นไปด้วยความเมตตาอันบริสุทธิ์ต่อมวลมนุษย์

๙.คำสอนหลวงปู่แหวน สุจิณโณ
วัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่
เรื่องราวเต็มโลก เต็มบ้านเมือง
เราก็วางเสีย ละเสีย
ละอยู่ที่กายที่ใจตนนี่แหละ
อย่าไปละที่อื่น
การหอบอดีตและอนาคตมาหมักสุมไว้ในใจ
ก็เป็นทุกข์ ตัดออกให้หมด

๑๐.คำสอนหลวงปู่ทิม อิสริโก
วัดละหารไร่ จ.ระยอง
เขาจะด่า เขาจะว่าก็ให้นิ่ง
ท่านว่า คนที่ด่า คือ คนที่ไม่ทำงาน
คนที่ทำงาน คือ คนที่ไม่พูด
เวรกรรมเป็นของมีจริง
ขอให้ทุกคนตั้งใจทำแต่กรรมดีเถิด
จะไม่มีใครทำอะไรเราได้

๑๑.คำสอนหลวงปู่ขาว อนาลโย
วัดถ้ำกลองเพล จ.หนองบัวลำภู
เรื่องภาวนามันสำคัญ อบรมบ่มอินทรีย์ อบรมกายนี่แหละ
อบรมใจของตนนี่แหละ มันยากอยู่
ครั้นอบรมได้แล้วไม่มีความเดือดร้อน ใจเยือกเย็นใจสบาย ไม่มีความหวั่นไหว 
อวิชชาคือใจดวงเดียวนั่นเรียกว่า อวิชชา 
คือ มันไม่รู้ต่อสิ่งทั้งปวง ไม่รู้ในกองสังขารแล้วหลงยึด
ชอบเข้าก็หลงยึด ไม่ชอบก็ยึดเข้ามาเผาตน 
มันไม่รู้มันจึงหวั่นไหว

๑๒.คำสอนหลวงพ่อชา สุภัทโท
วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี
อารมณ์นี้ก็เหมือนกับงูเห่าที่มีพิษร้ายนั้น
อารมณ์ที่พอใจก็มีพิษมาก
อารมณ์ที่ไม่พอใจก็มีพิษมาก
มันทำให้จิตใจของเราไม่เป็นเสรี
ทำให้จิตใจไขว้เขวจากหลักธรรมของพระพุทธเจ้า

๑๓.คำสอนหลวงพ่อพุทธทาส อินทปัญโญ
สวนโมกขพลาราม จ.สุราษฎร์ธานี
ศีลธรรมเลว คนก็ได้ กลายเป็นผี
หาความดี ไม่ประจักษ์ สักเส้นขน
ศีลธรรมดี ผีก็ได้ กลายเป็นคน
ที่เลิศล้น ภูมิใจ ไหว้ตัวเอง
ศีลธรรมต่ำ เปลี่ยนคน จนคล้ายสัตว์
จะกินกัด โกงกัน ขมันเขม็ง
ศีลธรรมสูง คนสดใส ไม่อลเวง
ล้วนยำเกรง กันและกัน ฉันเพื่อนตาย
ศีลธรรมนี้ ทุกวัน มันตายซาก
คนมีปาก ก็ไม่พล่าม ศีลธรรมหาย
ศีลธรรมกลับ มาเมื่อไร ทั้งใจกาย
คนจะหาย จากทุกข์ เป็นสุขเอง

๑๔.คำสอนหลวงพ่อพุธ ฐานิโย
วัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา
ถ้าท่านจะเป็นนักปฏิบัติอย่างแท้จริง
ท่านอย่าไปถือพวก ถือพรรค ถือคณะ
ว่าหมู่เขา หมู่เรา อาจารย์เขา อาจารย์เรา
ขอให้ยึดถือ พระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์เป็นสรณะที่พึ่ง

๑๕.คำสอนหลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม
วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี
ความดีเป็นศัตรูของชีวิต
ความดีต้องมีอุปสรรค
เขามาร้าย อย่าร้ายตอบ
เขาไม่ดีมา จงใช้ความดีเข้าไปแก้ไข
คนตระหนี่ ให้ของที่ต้องใจ
คนพูดเหลวไหล เอาความจริงใจ ไปสนทนา

๑๖.คำสอนหลวงพ่อปัญญานันทะ
วัดชลประทานรังสฤษฏ์จ.นนทบุรี
ความทุกข์เป็นบทเรียน 
ที่ประเสริฐของชีวิต 
และเป็นเหตุกระตุ้นเตือน 
ให้ก้าวไปข้างหน้า 
พวกเราทั้งหลาย 
จึงไม่ควรย่อท้อต่ออุปสรรค 
ควรเห็นว่าอุปสรรค 
เป็นเครื่องสร้างกำลังใจ 
และเป็นปากทางไปสู่ 
ความสำเร็จในภายหลัง

๑๗.คำสอนหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ
วัดบ้านไร่ จ.นครราชสีมา
อยากให้บ้านเราเจริญนะ ไม่ยากหรอก
ตั้งอยู่ในองค์ปัญจะทั้ง ๕ คือรักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์
ไม่ให้ขาด อย่าให้ด่างพร้อย
เป็นมนุษย์สุดประเสริฐ หรือใครก็ตาม
แม้แต่พระเราก็ต้องรักษาศีล ๕ ถ้าไม่มีศีล ๕ ประจำใจ
ไม่ว่าพระรูปใดรูปหนึ่ง ก็เป็นพระไม่ได้เหมือนกัน

๑๘.คำสอนหลวงพ่อปาน โสนันโท
วัดบางนมโค จ.พระนครศรีอยุธยา
จงรักพระพุทธศาสนาด้วยการปฏิบัติ
ตาม ทาน ศีล ภาวนา ๓อย่างให้ครบ
อารมณ์ซื่อ ถือความจริง คือไม่คด ไม่โกง
ความจริงยอมรับว่าสิ่งที่เกิดมี
มันเก่าแก่ คร่ำคร่าจริง
มันเปลี่ยนแปลงจริง
มันมีอันที่จะสลายตัวในที่สุดจริงเท่านี้พอแล้ว
พอดีที่เกิดมาในพระพุทธศาสนา
ไม่ต้องตะเกียกตะกายมาก

๑๙.คำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
วัดจันทาราม จ.อุทัยธานี
อย่าไปมองดูความเลวของคนอื่น
มองดูความเลวของตน
ไม่ต้องไปปรับปรุงบุคคลอื่น
ปรับปรุงเราเอง มันดีที่สุด

๒๐.คำสอนหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล
วัดเลียบ จ.อุบลราชธานี
ให้พากันละบาป บำเพ็ญบุญ
อย่าให้เสียชีวิตลมหายใจไปเปล่า
ที่ได้มีวาสนาเกิดเป็นมนุษย์


"ผู้ให้ย่อมได้รับความสุข"โดย พระไพศาล วิสาโล

"ผู้ให้ย่อมได้รับความสุข"
โดย พระไพศาล วิสาโล

ผู้ให้ความสุขแก่ผู้อื่น ย่อมได้รับความสุขในจิตใจ ผู้ที่คิดตักตวง แสวงหาความสุขจากผู้อื่น ก็จะยิ่งห่างไกลจากความสุข เราจึงควรช่วยเหลือ เอื้อเฟื้อ เกื้อกูลผู้อื่นอยู่เสมอ ช่วยให้ส่วนรวมได้ประสบแต่ความสุข การทำเช่นนั้น จะเติมเต็มชีวิตจิตใจของเรา ให้ได้รับความสุข มีความแช่มชื่นเบิกบาน โดยเฉพาะเมื่อเวลาเราช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังประโยชน์ส่วนตัว 

 

 

กองไว้ตรงนั้น"โดย พระไพศาล วิสาโล

"กองไว้ตรงนั้น"
โดย พระไพศาล วิสาโล

ฟังข่าว ดูโทรทัศน์ ได้ยิน ได้รับรู้เรื่องอะไรที่ไม่น่าพอใจ เกิดความหงุดหงิดขึ้นมา ก็กองไว้ตรงนั้นแหล่ะ กองไว้ที่หน้าโทรทัศน์นั่นแหล่ะ ไม่ต้องเอาไปด้วย ถ้าจะเอาไปก็เอาไปแต่เรื่องที่ เราจะได้ประโยชน์อะไรบ้างจากสิ่งที่เราได้ยิน แต่ถ้าเกิดว่าไม่เห็นประโยชน์จากเรื่องที่ได้ยิน ได้ฟังเลย ก็กองไว้ตรงนั้นแหล่ะ

 

 

ชีวิตที่ดี"โดย พระไพศาล วิสาโล

"ชีวิตที่ดี"
โดย พระไพศาล วิสาโล


ชีวิตที่ดี ชีวิตที่น่าสรรเสริญ ในพุทธศาสนา ไม่ใช่ชีวิตที่อยู่บนกองเงินกองทอง หรือว่าเต็มไปด้วยโชคลาภวาสนา แต่เป็นชีวิตที่ไม่หวั่นไหว ในยามขึ้นหรือในยามลง

 
 

ทำใจยอมรับ"โดย พระไพศาล วิสาโล

"ทำใจยอมรับ"
โดย พระไพศาล วิสาโล

สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ลำบากกว่านี้เยอะ แต่ทุกวันนี้เรามีทุกอย่างพรั่งพร้อมบริบูรณ์ แต่คนก็ยังโวยวาย เหมือนกับว่าโลกมันจะถล่มทะลายให้ได้ อันนี้ก็เพราะว่าไม่ได้เตรียมใจไว้ ใจมันก็ไม่ยอมรับ มันปฏิเสธ ที่จริงถ้าเริ่มทำใจยอมรับ ว่ามันเป็นความเป็นจริงที่หนีไม่พ้น ใจมันก็นิ่งได้ ความทุกข์ของคนเราเกิดจากมันดิ้นที่จะปฏิเสธ ดิ้นที่จะผลักไสออกไป 

 
 

ทุกข์มีไว้เห็น ไม่ใช่มีไว้เป็น"โดย พระไพศาล วิสาโล

"ทุกข์มีไว้เห็น ไม่ใช่มีไว้เป็น"
โดย พระไพศาล วิสาโล

ทุกข์มีไว้เห็น ไม่ใช่มีไว้เป็น เห็นทุกข์ไม่ใช่เป็นทุกข์ ปัญหามีไว้แก้ ไม่ได้มีไว้กลุ้ม คนที่ไม่เข้าใจเจอปัญหาก็กลุ้ม ไม่ว่าในชีวิตการงานหรือในชีวิตครอบครัว เจอปัญหาเอาแต่กลุ้ม แต่ไม่ได้มองว่า เค้ามีไว้ให้แก้

 

 

สุขทุกข์ไม่ได้อยู่ที่สิ่งภายนอก"โดย พระไพศาล วิสาโล

"สุขทุกข์ไม่ได้อยู่ที่สิ่งภายนอก"
โดย พระไพศาล วิสาโล

สุขทุกข์เนี่ย มันไม่ได้อยู่ที่สิ่งภายนอกนะ แต่มันอยู่ที่ใจของเราเป็นสำคัญเลย อยู่ที่ว่าเราจะมองอย่างไร เราจะวางใจอย่างไร ได้อะไรมามากมายก็เป็นทุกข์ได้ ถ้าหากว่าใจเรามันยังอยากได้มากกว่านั้น

 
 

ความประมาท"โดย พระไพศาล วิสาโล

"ความประมาท"
โดย พระไพศาล วิสาโล

สิ่งที่น่าพอใจนั่นแหล่ะ คือสิ่งที่เราต้องระวัง เพราะว่ามันทำให้เราประมาท เวลาเรามีความทุกข์หรือเกิดทุกขเวทนาเนี่ย มันก็มีความพยายามโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ที่จะพยายามที่จะหลุดพ้นออกจากสิ่งนั้น เพราะมันเป็นทุกข์ แต่เวลาเจอสุขเวทนา ใจมันจะเข้าไปคลอเคลีย เข้าไปยึดเข้าไปหลง ซึ่งก็ทำให้เกิดความประมาทขึ้น เราไม่ได้ตระหนักว่า ของเหล่านี้มันเป็นของชั่วคราว พอมันไปแล้ว ถ้าเราหลงมัน เราก็ทุกข์

 

 

ดีใจมาก ทุกข์มาก"โดย พระไพศาล วิสาโล

"ดีใจมาก ทุกข์มาก"
โดย พระไพศาล วิสาโล

 
ถ้ามีความยินดี พอใจในคำชม เวลาเจอคำตำหนิมันก็จะทุกข์ ยิ่งดีใจ พอใจเมื่อได้รับคำชมมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทุกข์ เวลาถูกตำหนิมากเท่านั้น คนที่หัวเราะเสียงดัง มักจะร้องไห้เสียงดังด้วย คนที่หัวเราะเบาๆ เวลาเจอเรื่องเศร้ามันก็จะร้องไห้เบาๆเหมือนกัน

 
 

ปัญหามีไว้ให้ใคร่ครวญโดย พระไพศาล วิสาโล

"ปัญหามีไว้ให้ใคร่ครวญไม่ใช่มีไว้ให้คร่ำครวญ"
โดย พระไพศาล วิสาโล
ปัญหามีไว้ให้ใคร่ครวญ ไม่ใช่มีไว้ให้คร่ำครวญ เจอปัญหาแล้วคร่ำครวญบ่นตีโพยตีพาย ว่าทำไมต้องเป็นฉัน หรือไม่ก็โทษคนโน้นคนนี้ ไม่เป็นธรรมเลยเจ้านายไม่เป็นธรรม ไอ้หมอนี่มันแย่มาก ไม่มีน้ำใจเอื้อเฟื้อ ถ้าเราบ่นแบบนี้เราก็เป็นทุกข์เปล่าๆ

 

 

นิยมทางลัด"โดย พระไพศาล วิสาโล

"นิยมทางลัด"
โดย พระไพศาล วิสาโล

เดี๋ยวนี้เราไปให้ ความสำคัญกับผล มากกว่าการใช้ความเพียร หรือลงมือกระทำ จึงเกิดค่านิยม นิยมทางลัด อะไรก็ได้ขอให้ได้ผลสำเร็จไวๆ โดยที่ไม่ต้องลงทุนลงแรง เรียนหนังสือก็จะใช้วิธีไหนก็ได้เพื่อจะให้ได้เกรดมากๆ แม้จะต้องโกงข้อสอบ

 

 

สุขหรือทุกข์อยู่ที่ใจ"โดย พระไพศาล วิสาโล

"สุขหรือทุกข์อยู่ที่ใจ"
โดย พระไพศาล วิสาโล

สุขหรือทุกข์อยู่ที่ใจ อะไรจะเกิดขึ้นกับเรา ก็ไม่สำคัญเท่ากับว่าเรารู้สึกกับมันอย่างไร และประสบกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจ แต่ถ้าเราวางใจเป็น เราก็ไม่ทุกข์ วางใจเป็นปกติ แล้วอาจจะพบความสุขได้ด้วย

 

 

ความสุขที่แท้จริง เกิดจากการสละ"โดย พระไพศาล วิสาโล

"ความสุขที่แท้จริง เกิดจากการสละ"
โดย พระไพศาล วิสาโล

ความสุขที่แท้จริง ไม่ได้เกิดจากการมีหรือการได้ แต่เกิดจากการสละ โดยเฉพาะการสละกิเลส จะทำเช่นนั้นได้ ก็ต้องเริ่มต้นจากการสละสิ่งของที่เป็นวัตถุ ก็คือการให้ทาน จากนั้นก็สละสิ่งที่เป็นความโกรธ ด้วยการให้อภัย และถ้าเราฝึกจิตฝึกใจก็จะพ้นจากกิเลส และนั่นแหล่ะจะทำให้เราได้พบกับความสุข ความสงบเย็นที่แท้จริง

 

 

"มีเท่าไหร่ ก็ไม่สำคัญเท่ากับว่ามีอย่างไร"โดย พระไพศาล วิสาโล

"มีเท่าไหร่ ก็ไม่สำคัญเท่ากับว่ามีอย่างไร"
โดย พระไพศาล วิสาโล

มีเท่าไหร่ ก็ไม่สำคัญเท่ากับว่ามีอย่างไร แม้มีมากแต่ว่าไม่พอใจ ก็ไม่มีความสุข แต่ถึงแม้ว่าจะมีน้อยแต่พอใจ ความสุขก็หาได้ไม่ยาก

 

 

หนีความแก่ ความเจ็บ และความตายไม่พ้น"โดย พระไพศาล วิสาโล

"หนีความแก่ ความเจ็บ และความตายไม่พ้น"
โดย พระไพศาล วิสาโล

ไม่ว่าจะร่ำรวยหรือยิ่งใหญ่แค่ไหน ก็หนีความแก่ ความเจ็บและความตายไม่พ้น ต้องหมั่นเตรียมใจ เตรียมตัวรับมือกับความแก่ ความเจ็บและความตายอยู่เสมอ ฝึกใจปล่อยวาง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่รัก หรืออารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ เมื่อต้องเจอกับความแก่ ความเจ็บและความตาย เราก็จะสามารถรับมือได้ด้วยใจที่สงบ 

 

 

บุญนั้นทำได้หลายวิธี"โดย พระไพศาล วิสาโล

"บุญนั้นทำได้หลายวิธี"
โดย พระไพศาล วิสาโล

บุญนั้น เราสามารถจะทำได้หลายวิธี ไม่ต้องบริจาคเงิน ก็สามารถทำบุญได้ เช่น การช่วยเหลือเอื้อเฟื้อเกื้อกูลผู้อื่น หรือว่าการบำเพ็ญประโยชน์เพื่อส่วนรวม และเราควรทำบุญแบบนี้กันให้มากๆ เพราะว่าจะช่วยทำให้จิตใจเราเป็นสุข และทำให้เมืองไทย เป็นเมืองที่น่าอยู่มากขึ้น 

 

 

ไม่ช้าก็เร็วเราทุกคนก็ต้องตาย"โดย พระไพศาล วิสาโล

"ไม่ช้าก็เร็วเราทุกคนก็ต้องตาย"
โดย พระไพศาล วิสาโล

ไม่ช้าก็เร็ว เราทุกคนก็ต้องตาย ขอให้เรายอมรับความจริงข้อนี้ อย่ามัวแต่หมกมุ่นเพลิดเพลินในความสนุกสนาน หรือความสะดวกสบาย เพราะนั่นเท่ากับเป็นการอยู่แบบลืมตาย และเมื่อความตายมาถึง ก็จะทำใจลำบาก แต่ถ้าเราพร้อมรับมือกับความตายอยู่เสมอ เมื่อวาระสุดท้ายมาถึง เราก็สามารถจากโลกนี้ไปได้อย่างสงบ

 

 

วันพุธที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ลืมดูใจตัวเอง"โดย พระไพศาล วิสาโล

"ลืมดูใจตัวเอง"
โดย พระไพศาล วิสาโล

ใครๆก็ชอบเรียกร้องให้คนอื่นมารู้ใจตน แต่ส่วนใหญ่แล้วเนี่ยมักจะลืมดูใจตัวเอง ก็เลยปล่อยให้ความโลภ ความโกรธ ความหลง มาครอบงำจิตใจ เสร็จแล้วเราก็โทษคนอื่น ว่าทำให้เราทุกข์ เพียงแต่เราหันมารู้ใจตัวเอง จิตใจเราก็จะปลอดโปร่ง แจ่มใส แม้เราจะอยู่ท่ามกลางผู้คน สิ่งแวดล้อม เราก็สามารถเป็นสุขได้

 
 

ไม่มีอะไรหรือใครทำอะไรเราได้"โดย พระไพศาล วิสาโล

"ไม่มีอะไรหรือใครทำอะไรเราได้"
โดย พระไพศาล วิสาโล

ในโลกนี้ไม่มีอะไรหรือใครมาทำให้เราทุกข์ใจได้ นอกจากตัวเราเอง คนอื่นนั้นอย่างมากก็เอาทรัพย์สินของเราไป หรือทำร้ายร่างกายของเรา เสียของแต่ไม่เสียใจนี่ทำได้ ป่วยการแต่ไม่ป่วยใจ นี่ทำได้ ถ้าหากเรามีสติและปัญญาเป็นเครื่องรักษาใจ อะไรเกิดขึ้นกับเรา ก็ไม่สามารถทำให้เราทุกข์ใจได้เลย

 

 

ช่วยเหลือส่วนรวม"โดย พระไพศาล วิสาโล

"ช่วยเหลือส่วนรวม"
โดย พระไพศาล วิสาโล

เวลาตัดสินใจจะทำอะไร อย่าถามว่าทำแล้วฉันจะได้อะไร แต่เราควรถามว่า ทำแล้วส่วนรวมจะได้อะไรบ้าง หรือว่าสิ่งที่ทำนั้นถูกต้องมั๊ย เพราะคนเราเนี่ยไม่ได้เกิดมาเพื่อที่จะเอาเข้าตัวให้ได้มากๆ แต่เรามีหน้าที่ ที่จะช่วยเหลือส่วนรวม ถ้าเราทำเช่นนี้ ก็จะทำให้ความเป็นมนุษย์ของเรามีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

 

 

คิดถึงแต่ตัวเอง"โดย พระไพศาล วิสาโล

"คิดถึงแต่ตัวเอง"
โดย พระไพศาล วิสาโล

คนที่คิดถึงแต่ตัวเอง จะเป็นคนที่ทุกข์ง่าย เพราะว่าเวลามีอะไรมากระทบแม้เล็กน้อย ก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าเราคิดถึงคนอื่นอยู่เรื่อยๆเนี่ยความทุกข์ของเราก็จะกลายเป็นเรื่องเล็ก คนที่คิดถึงแต่ผู้อื่นอยู่เสมอจะเป็นคนที่สุขง่าย เพราะว่าหัวใจของเค้าเนี่ยจะใหญ่ขึ้น แต่ว่าอัตตาตัวตนจะเล็กลง ก็ทำให้มีพื่นที่รับความสุขได้มากขึ้น

 

 

อย่าอิจฉาแต่ควรชื่นชม"โดย พระไพศาล วิสาโล

"อย่าอิจฉาแต่ควรชื่นชม"
โดย พระไพศาล วิสาโล

เวลาใครได้ดีหรือได้มากกว่าเรา ไม่ควรอิจฉาเค้า แต่ควรชื่นชมยินดีเค้า เพราะว่าความอิจฉาจะทำให้จิตใจร้อนรุ่มเป็นทุกข์ ในทำนองเดียวกันเวลาใครเค้าทำดี ก็อย่าไปเขม่น อย่าไปอิจฉาเค้า ควรชื่นชมยินดี เพราะสิ่งนี้จะทำให้ความดีในใจเราเจริญงอกงามขึ้นด้วย และทำให้ใจเราเป็นบุญ

 

 

คนเราไม่ได้เกิดมาเพื่อใช้กรรมอย่างเดียว" โดย พระไพศาล วิสาโล

"คนเราไม่ได้เกิดมาเพื่อใช้กรรมอย่างเดียว"
 โดย พระไพศาล วิสาโล

คนเราไม่ได้เกิดมาเพื่อใช้กรรมอย่างเดียว แต่ยังสามารถสร้างกรรมใหม่ได้ด้วย ความผิดพลาดในอดีตนั้นเราแก้ไขไม่ได้แล้ว แต่เราสามารถสร้างกรรมดีขึ้นมาเพื่อชดเชยหรือทดแทนได้ เรายังสามารถใช้วิบากกรรม หรือเคราะห์กรรมให้เป็นประโยชน์ได้ เช่น ทำให้เราไม่ประมาทแล้วก็รู้จักปรับปรุงพัฒนาตนเอง เพื่อทำให้ชีวิตเจริญงอกงาม



 

กล่าวคำขอโทษ"โดย พระไพศาล วิสาโล

"กล่าวคำขอโทษ"
โดย พระไพศาล วิสาโล

เมื่อใดที่เราทำความผิดพลาดหรือทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน เราควรรู้จักขอโทษ การขอโทษไม่ได้แปลว่าเราอ่อนแอ แต่เป็นการแสดงถึงความกล้าของเรา กล้าที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้อง เมื่อใดก็ตามที่เราขอโทษ นอกจากจะเป็นการเยียวยาจิตใจ ของผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนแล้ว ยังช่วยทำให้เราไม่มีสิ่งค้างคาใจที่จะทำให้เรารู้สึกผิดหรือเป็นทุกข์ 

 

 

รู้จักการให้อภัย"โดย พระไพศาล วิสาโล

"รู้จักการให้อภัย"
โดย พระไพศาล วิสาโล

ถ้าเรารักสุขเกลียดทุกข์ก็ควรรู้จักให้อภัย เพราะถ้าเราไม่ให้อภัย ความโกรธ ความเกลียด ความพยาบาทก็จะเผาลงจิตใจ ทำให้รุ่มร้อน แต่ถ้าเรารู้จักให้อภัยก็จะช่วยปลดเปลื้องความโกรธ ความเกลียด ออกไปจากใจเรา เป็นเสมือนน้ำเย็นที่จะดับไฟ ภายในใจให้สงบลงได้ เป็นเสมือนยาสามัญประจำใจ ที่เราควรมีไว้อยู่ตลอดเวลา

 

 

กล้าทำชั่ว กลัวทำดี"โดย พระไพศาล วิสาโล

"กล้าทำชั่ว กลัวทำดี"
โดย พระไพศาล วิสาโล

คุณเป็นคนนึงรึเปล่าที่กล้าทำชั่ว กลัวทำดี เวลาจะทำดีก็กลัวว่าจะเป็นแกะดำ กลัวว่าคนอื่นเค้าจะเขม่น ถ้าเราคิดเช่นนี้เนี่ย ชีวิตเราก็จะอยู่ในความตกต่ำอย่างเดียว แต่ถ้าเกิดว่าเราเปลี่ยนมุมมองเสียใหม่ กล้าทำดี หนีความชั่ว ความดีที่เราทำนั่นแหล่ะ จะช่วยหล่อเลี้ยงชีวิตจิตใจให้เจริญงอกงาม และเต็มไปด้วยความสุข

 

 

อุปสรรคหรือความล้มเหลว"โดย พระไพศาล วิสาโล

"อุปสรรคหรือความล้มเหลว"
โดย พระไพศาล วิสาโล

เวลาเราเจออุปสรรคหรือพบกับความล้มเหลว อย่ามัวแต่คร่ำครวญ บ่น หรือว่าตีโพยตีพาย ควรจะตั้งคำถามว่า ทำไมมันถึงเกิดขึ้น อะไรทำให้เราพบกับความล้มเหลว ในทำนองเดียวกัน เวลามีใครตำหนิเรา ควรจะถาม ควรจะมองใหม่ว่า มันจริงมั๊ย การที่เราตั้งคำถามเช่นนี้เนี่ย จะทำให้เราเกิดปัญญา และสามารถแก้ปัญหารวมทั้งปรับปรุงพัฒนาตนได้

 

 

หาโชคจากเคราะห์ หาสุขจากทุกข์"โดย พระไพศาล วิสาโล

"หาโชคจากเคราะห์ หาสุขจากทุกข์"
โดย พระไพศาล วิสาโล

ไม่มีอะไรที่เลวร้ายไปเสียหมด มีหลายคนที่เข้าหาธรรมก็เพราะว่าความเจ็บป่วย หรือว่าธุรกิจล้มละลาย ก็เรียกว่าเป็นโชคที่แฝงมาในเคราะห์ เพราะฉะนั้นเราจึงควรรู้จักหาโชคจากเคราะห์ แล้วก็หาสุขจากทุกข์ ไม่มีอะไรที่จะเลวไปเสียหมด มันมีประโยชน์ถ้าเรามองให้เป็น

 

 

ความสะอาด สงบเย็น"โดย พระไพศาล วิสาโล

"ความสะอาด สงบเย็น"
โดย พระไพศาล วิสาโล

น้ำอัดลมหรือน้ำหวาน แม้จะมีรสชาดเอร็ดอร่อย แต่ถ้ากินบ่อยๆก็ทำให้ร่างกายเจ็บป่วยได้ ร่างกายเราถึงที่สุดแล้วก็ต้องการน้ำสะอาด แม้จะจืดแต่ก็มีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพ จิตใจเราก็เช่นเดียวกัน เราต้องการความสงบเย็นที่เกิดจากการทำความดี ที่เกิดจากการเอื้อเฟื้อเกื้อกูลผู้อื่น มีค่าต่อจิตใจ มากกว่าความสนุกสนาน ความเพลิดเพลินจากการเสพวัตถุ

 

 

"ทำดีย่อมได้ดีอย่างแน่นอน"โดย พระไพศาล วิสาโล

"ทำดีย่อมได้ดีอย่างแน่นอน"
โดย พระไพศาล วิสาโล

ทำดีย่อมได้ดีอย่างแน่นอน อย่าได้สงสัยในความจริงข้อนี้ เมื่อเราทำความดี ดีอย่างแรกที่จะต้องเกิดขึ้น ก็คือดีที่ใจ ใจดี ใจงาม ใจสงบ ใจเป็นบุญ อันนี้แหล่ะคือสิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เมื่อใจเราดีด้วยการคิดดี พูดดี ทำดีแล้ว สิ่งดีๆก็จะตามมาเองในภายหลัง 

 

 

อย่าหวังลาภลอย คอยโชค"โดย พระไพศาล วิสาโล

"อย่าหวังลาภลอย คอยโชค"
โดย พระไพศาล วิสาโล

ถ้าปรารถนาความเจริญ ความสำเร็จ ก็อย่ามัวแต่หวังลาภลอย คอยโชค หรือนิยมทางลัด ไม่มีทางลัดสู่ความสำเร็จ ไม่มีความลัดสู่ความเจริญ มีแต่ทางตรง นั่นก็คือการพึ่งความเพียรของตนเอง พึ่งน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ผู้มีปัญญาย่อมไม่กลัวเหนื่อย ไม่กลัวความลำบาก เพราะรู้ว่านั่นคือทางตรง สู่ความเจริญและความสำเร็จ

 

 

ร่วมรับผิดชอบพุทธศาสนา"โดย พระพรหมคุณาภรณ์

"ร่วมรับผิดชอบพุทธศาสนา"
โดย พระพรหมคุณาภรณ์

คนไทยเราชาวพุทธนี่ ไม่มีจิตสำนึกในการเป็นเจ้าของ มีส่วนร่วมรับผิดชอบพระพุทธศาสนา ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นชาวพุทธนะ ฉันมีส่วนร่วมด้วย อย่างพระประพฤติไม่ดี ก็ว่าพระประพฤติไม่ดี ไม่ได้เรื่อง ก็วิจารณ์กันไป กลายเป็นเรื่องของคนอื่น แทนที่จะมองว่า เอ๊! แล้วฉันล่ะ จะต้องทำอะไร และฉันมีความรับผิดชอบอย่างไร

 โดย พระพรหมคุณาภรณ์

 

ไม่มีที่ไหนในโลก"โดย พระพรหมคุณาภรณ์

"ไม่มีที่ไหนในโลก"
โดย พระพรหมคุณาภรณ์

คนทางใต้ พระทางใต้ ท่านก็เล่าให้ฟังบอกว่า ในภาคใต้เราที่เป็นมาสมัยก่อนเนี่ย คนไทยพุทธ คนไทยมุสลิมอยู่ด้วยกัน เวลาคนมุสลิมสร้างมัสยิด คนไทยพุทธไปช่วยสร้าง เวลาชาวพุทธสร้างโบสถ์ชาวมุสลิมก็เลยมาช่วยสร้างด้วย นี่อย่างนี้ป็นสภาพที่หาได้ยาก มันไม่มีที่ไหนใน

 

 

ทำไมอยู่กันดีไม่ได้"โดย พระพรหมคุณาภรณ์

"ทำไมอยู่กันดีไม่ได้"
โดย พระพรหมคุณาภรณ์


การรบราฆ่าฟันเนี่ย ก็ยังมีกันมากมาย ในประเทศเดียวกันก็ เกิดสงคราม เกิดการฆ่ากันอย่างทารุณโหดร้าย ซึ่งไม่น่าจะเกิดขึ้นในหมู่มนุษย์ คนยังแบ่งแยกกัน อยู่ในสังคมเดียวกันนี่อยู่กันดีไม่ได้ ทำไมเป็นอย่างนี้ทั้งๆที่ว่า เจริญขึ้นมามีอารยธรรมมากแล้ว

 
 

สุขสบายแล้วอย่าประมาท"โดย พระพรหมคุณาภรณ์

"สุขสบายแล้วอย่าประมาท"
โดย พระพรหมคุณาภรณ์

คนเรานี่ เวลามีภัยคุกคาม มีทุกข์บีบคั้นก็ลุกขึ้น ดิ้นรนขนขวาย พอสุขสบายก็นอนต่อไป พระพุทธศาสนาก็จึงต้องย้ำเรื่องความไม่ประมาท เพราะว่าเมื่อสบายแล้วคนโน้มเอียงจะประมาท ใครทั้งๆที่สุขสบาย ก็ไม่ประมาทได้ คนนั้นแหละเป็นคนที่ปฏิบัติธรรมได้ผล

 
 

สังคมขาดศีลห้า"โดย พระพรหมคุณาภรณ์

"สังคมขาดศีลห้า"
โดย พระพรหมคุณาภรณ์

เวลานี้ ที่เป็นปัญหากันมากก็คือ สังคมนี้ขาดศีล 5 เป็นอย่างยิ่ง ผู้ถือศีล 5 ก็เป็นผู้ไม่เบียดเบียนคนอื่น ดำรงชีวิตที่ดีงาม ใครตั้งในศีล 5 ก็ทำให้ที่นั่นมีความปลอดภัยและถ้าหากว่าทุกคนรักษาศีล 5 ได้สังคมของเราก็ร่มเย็นเป็นสุข

 

 

หลักพุทธศาสนา"โดย พระพรหมคุณาภรณ์

"หลักพุทธศาสนา"
โดย พระพรหมคุณาภรณ์

พุทธศาสนาเนี่ย ให้หวังผลจากการกระทำด้วยความเพียรพยายาม แล้วก็ไม่ประมาทไม่ให้ปล่อยเวลาผ่านไปเพียงด้วยการรอคอย แล้วก็ไม่ทำอะไร ให้ฝึกฝนตนเอง เจริญศีล สมาธิปัญญาทำตัวเองให้ดีขึ้น พึ่งตนเองได้

 
 

ครอบครัวดีสังคมดี"โดย พระพรหมคุณาภรณ์

"ครอบครัวดีสังคมดี"
โดย พระพรหมคุณาภรณ์

ครอบครัวนี่เป็นรากฐาน เป็นฐานของสังคม สังคมทั้งหมดก็มาจากครอบครัว ถ้าหากว่าแต่ละครอบครัวดีแล้ว สังคมของเราจะดี ถ้ามองในแง่นี้ครอบครัวสำคัญมาก เราต้องการให้สังคมประเทศชาติของเราเจริญมั่นคงมีความร่มเย็นเป็นสุขก็ทำได้ โดยทำครอบครัวแต่ละครอบครัวนี้ให้ดี

 

 

น้ำใจของพ่อแม่"โดย พระพรหมคุณาภรณ์

"น้ำใจของพ่อแม่"
โดย พระพรหมคุณาภรณ์

อย่างพ่อแม่ก็เสียสละเพื่อลูก แม้แต่ตัวเอง อย่างได้ขนมมา ตอนเด็กเล็กๆ ลูกขอเอาหมด แม่ต้องยอมอดทั้งหมดเลย แต่ก็อยากให้ลูกเป็นสุขก็ยอมได้ ให้ลูกทั้งหมดเลย ลูกอยากกินหมดก็ให้เขากินไป ถ้าพ่อแม่ไม่มีความรักแบบที่ว่าอยากให้ลูกเป็นสุขเนี่ย พ่อแม่ก็ทำไม่ได้

 

 

ต้องฝึกตน"โดย พระพรหมคุณาภรณ์

"ต้องฝึกตน"
โดย พระพรหมคุณาภรณ์

คนเรานั้น มีชีวิตที่เจริญงอกงามได้ ต้องมีการฝึกตน คนไหนไม่ฝึกก็เจริญยาก เพราะฉะนั้นคนที่เจริญ ก็จะเอาอะไรต่ออะไรมาเป็นเครื่องฝึกตนหมด เจอสถานการณ์ใหม่เจออะไรใหม่ๆ มองว่าจะได้โอกาสฝึกตน เจอทุกข์เจอปัญหา ก็คือแบบฝึกหัดในการฝึกตัวเองนั่นเอง

 
 

การรู้จักปรับตัว"โดย พระพรหมคุณาภรณ์

"การรู้จักปรับตัว"
โดย พระพรหมคุณาภรณ์

ความสามารถของคนอย่างหนึ่ง พิสูจน์ได้ด้วยการรู้จักปรับตัว ในการที่จะอยู่ด้วยดีในโลกนี้ การปรับตัวปรับใจนั้น ต้องใช้ความเข้าใจ ไม่ใช่ใช้อารมณ์ ไม่ใช้ความรู้สึก ใช้ความเข้าใจพยายามเข้าใจคนอื่น แม้ยังไม่เข้าใจก็พยายามเข้าใจโดยใช้วิธีการของปัญญา

 

 

ไม่เป็นไปตามใจเรา"โดย พระพรหมคุณาภรณ์

"ไม่เป็นไปตามใจเรา"
โดย พระพรหมคุณาภรณ์

 
สิ่งทั้งหลายนี่ มันเป็นไปตามใจอยากของเราไหม? ทีนี้ถ้าท่านเอาความอยากของใจ ไปกำกับมัน อยากให้เป็นอย่างนั้น อยากให้เป็นอย่างนี้ มันก็ต้องเจอกับการขัดแย้งตลอดเวลาใช่ไหม เพราะสิ่งทั้งหลายมันเป็นไปตามเหตุปัจจัย มันไม่เป็นตามชอบใจ

 

 

ความสุขจากธรรมชาติ"โดย พระพรหมคุณาภรณ์

"ความสุขจากธรรมชาติ"
โดย พระพรหมคุณาภรณ์

 
คนเราก็สามารถมี ความสุขกับธรรมชาติได้ ความสุขจากธรรมชาตินั้น ไม่ต้องจ่ายสตางค์ แต่เดี๋ยวนี้ต้องจ่ายแล้วนะ เดี๋ยวนี้ธรรมชาติมันหายาก บางทีต้องไปอยู่ไกลๆ ต้องเสียเงิน ขับรถกันไปไกลกว่าจะได้ไปเจอธรรมชาติ คนสมัยนี้ก็ขาดแคลนความสุขด้านนี้

 

 

"มีก็ดีไม่มีก็ได้"โดย พระพรหมคุณาภรณ์

"มีก็ดีไม่มีก็ได้"
โดย พระพรหมคุณาภรณ์

คนที่เอาความสุข ไปฝากไว้กับวัตถุภายนอกหมดนี่ ไปไหนก็ไม่เป็นอิสระ และไม่มีสิ่งเหล่านั้นแล้วอยู่ไม่ได้ มีแต่ความทุกข์ ต้องมีอันนั้นถึงจะอยู่ได้ถ้าไม่มีฉันตายแน่ อะไรอย่างนี้นะ ถ้าคนที่ยังมีอิสรภาพอยู่บ้างจะต้องสามารถพูดอย่างนี้นะว่า มีก็ดีไม่มีก็ได้

 

 

สังคมต้องมีจุดหมาย"โดย พระพรหมคุณาภรณ์

"สังคมต้องมีจุดหมาย"
โดย พระพรหมคุณาภรณ์

สังคมที่มันจะดี มันจะเจริญก้าวหน้า ต้องมีจุดหมายที่ใฝ่ปรารถนาอันสูง ที่จะก้าวไป คนเรามีอะไรที่ดีที่มุ่งหมายที่จะทำ ใจมันก็จะห่างเหินจากสิ่งชั่วร้ายไป เหมือนอย่างเด็กทะเลาะกันตีกัน มันไม่มีอะไรจะให้ทำ ให้คิดดีๆ ไม่มีจุดหมายให้มอง มันก็จะมองหน้ามองตากันขัดใจกัน และก็เดี๋ยวก็ทะเลาะกัน

 

 

ทำเพื่อตนเองมากไป"โดย พระพรหมคุณาภรณ์

"ทำเพื่อตนเองมากไป"
โดย พระพรหมคุณาภรณ์

สังคมของเราเวลานี้ ไปหนุนเรื่องการเอาเพื่อตัวเอง กันมากไป ก็เลยเห็นแก่ตัว และก็เบียดเบียนแย่งชิงกัน ฉะนั้นปัญหามันก็มาก ไม่มองเพื่อนมนุษย์ว่า เป็นมนุษย์เหมือนเราจะมองแต่ในแง่เขา แง่เรา แบ่งแยกกันแย่งชิงกัน มันก็ยิ่งยุ่ง

 
 

ปัญญายังไม่สมานฉันท์"โดย พระพรหมคุณาภรณ์

"ปัญญายังไม่สมานฉันท์"
โดย พระพรหมคุณาภรณ์

 
ที่จริงคนไทยเราก็มีปัญญา ทั้งไม่ว่า คนเหนือ คนกลาง คนใต้ คนไหนหรอก แต่ตอนนี้ปัญญามันไม่สมาน ปัญญามันแตกแยก เราก็เอามาทำร้ายกัน เพียงแต่แค่คิดมันก็คิดไม่ดีกันเสียแล้ว ฉะนั้นเปลี่ยนใหม่ ต้องเอาปัญญานี่มาใช้ในทางที่สมาน มาใช้รวมกัน แล้วก็จะสร้างสรรค์ ประเทศชาติก็จะเข้มแข็ง

 โดย พระพรหมคุณาภรณ์

 

สมานฉันท์"โดย พระพรหมคุณาภรณ์

"สมานฉันท์"
โดย พระพรหมคุณาภรณ์


สมานฉันท์ นั้นก็เรื่องสามัคคีนั่นแหละ ก็แปลว่ามีฉันทะ มีความต้องการตรงกัน พูดง่ายๆก็คือ มีความต้องการตรงกันเรียกว่า สมานฉันทะ นี่เป็นภาษาบาลี ถ้ายังต้องการไม่ตรงกันก็สมานฉันท์ก็เกิดไม่ได้ แล้วเวลานี้มีความต้องการตรงกันหรือยังล่ะ ? ถ้ายังไม่ตรงมันก็ ไม่มีสมานฉันท์

 

 

อย่าดีแต่วิจารณ์"โดย พระพรหมคุณาภรณ์

"อย่าดีแต่วิจารณ์"
โดย พระพรหมคุณาภรณ์

สังคมไทยเรานี่ ถ้าจะให้เป็นการสร้างสรรค์นะ เมื่อมีการพิจารณาปัญหาต่างๆ นอกจากไปวิจารณ์ว่าอย่างนั้นอย่างนี้แล้วนี่ มันต้องมาถึงตัวเองว่า แล้วเราจะทำอะไรกัน นี่สำคัญที่สุดเลย มันไปอยู่แค่ว่าเขา ว่าพวกนั้นไม่ดีอย่างนั้น ว่าพวกนั้นแย่ อย่างนั้นอย่างนี้ แต่ไม่มาถึงซักทีว่า เราจะทำอะไร นี่จุดอ่อนที่สุดเลย

 


 

ก้าวไปกับปีใหม่"โดย พระพรหมคุณาภรณ์

"ก้าวไปกับปีใหม่"
โดย พระพรหมคุณาภรณ์

วันนี้เป็นอันว่า เรามาพูดกันถึงเรื่องปีใหม่ วันนี้ก็ขอให้กำลังใจ สนับสนุนแก่ทุกท่าน ในการ ที่จะสร้างความพร้อม ในการที่จะก้าวไป เมื่อกาลเวลาก้าวไป เราก็กำลังจะก้าวด้วย แล้วเราจะก้าวอย่างดีที่สุด ให้ประสบความดีงามความสำเร็จ

 
 

หลักการพึ่งตนเอง 2"โดย พระพรหมคุณาภรณ์

"หลักการพึ่งตนเอง 2"
โดย พระพรหมคุณาภรณ์

 
เพราะว่าหลักเศรษฐกิจพอเพียง ก็เป็นหลักพึ่งตนเอง ที่ในหลวงพระราชทานไว้ แล้วก็หลัก อะไรก็แล้วแต่ที่เราสอนกัน พระศาสนา ก็พูดมาตลอดเวลาให้พึ่งตน และเราก็ย้ำกันตลอด เวลาว่าให้พึ่งตัวเอง แต่ว่า อย่าลืมว่าจะพึ่งตนนั้นต้องมีตนที่พึ่งได้ ทีนี้ จะมีตนที่พึ่งได้ ก็ต้องฝึกศึกษาพัฒนาตนนั้นขึ้นไป

 
 

กาลเวลาไม่เคยหยุด"โดย พระพรหมคุณาภรณ์

"กาลเวลาไม่เคยหยุด"
โดย พระพรหมคุณาภรณ์

 
กาลเวลานี้ไม่เคยหยุด ไม่ว่าเรา จะหลับจะตื่น จะนอนจะพักอย่างไรก็ตามนี่ กาลเวลาไม่เคยหยุด เมื่อกาลเวลาก้าวไปตลอดเวลา ถ้าเราหยุด เราก็กลายเป็นคนประมาท ไม่เจริญก้าวหน้า เพราะฉะนั้น เป็นหน้าที่ของคนนี่ จะต้องก้าว อย่างน้อยก็แข่งกับกาลเวลา ให้ทันกาลเวลา

 

 

"ทำอยู่กับปัจจุบัน"โดย พระพรหมคุณาภรณ์

"ทำอยู่กับปัจจุบัน"
โดย พระพรหมคุณาภรณ์

 
ไม่พึง มัวหวนละห้อยความหลัง ไม่มัวเพ้อหวังอนาคต ว่างั้น สิ่งใดล่วงแล้วก็ผ่านไป สิ่งใดยังไม่ถึงสิ่งนั้นก็ทำไม่ได้ สิ่งที่ทำได้แน่นอนคือปัจจุบันนี้ ให้มองเห็น ให้พิจารณาให้ชัดเจนแจ่มแจ้ง เมื่อมองเห็นเข้าใจชัดเจนแจ่มแจ้งแล้วทำ

 
 

วันเสาร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ความเพียรชนะโชคชะตา"โดย พระพรหมคุณาภรณ์

"ความเพียรชนะโชคชะตา"
โดย พระพรหมคุณาภรณ์

ความเพียรของมนุษย์ เทวดาก็กีดกันไม่ได้ ว่างั้นนะ อันนี้ก็หมายความว่า พุทธศาสนาเนี่ยไม่ยอมแก่เรื่องโชคชะตา ให้มีความเพียรพยายามใช้สติปัญญากำลังความสามารถ แล้วจะสามารถเอาชนะแม้แต่โชคชะตาได้

 

 

สังคมไทยกำลังถอยกลับ"โดย พระพรหมคุณาภรณ์

"สังคมไทยกำลังถอยกลับ"
โดย พระพรหมคุณาภรณ์


เวลานี้สังคมไทย กำลังถอยกลับ กำลังมองพระนี่เป็น สื่อของอำนาจเร้นลับ เป็นผู้วิเศษ เป็นสิ่งที่จะเข้าไปหวังพึ่ง แล้วก็ตกอยู่ในความประมาท ไม่พัฒนาตนเอง ก็เข้าสู่หลักลัทธิลักษณะของศาสนาโบราณที่พระพุทธเจ้าพยายามที่จะปลดเปลื้องถอนออกมา

 

 

มนุษย์ประเสริฐได้ด้วยการฝึก"โดย พระพรหมคุณาภรณ์

"มนุษย์ประเสริฐได้ด้วยการฝึก"
โดย พระพรหมคุณาภรณ์

มนุษย์เป็นสัตว์ที่ประเสริฐ ด้วยการฝึก ถ้าไม่ฝึกหาประเสริฐไม่ มนุษย์ที่ไม่มีการฝึก เป็นสัตว์ที่แย่ที่สุดกว่าสัตว์ใด ๆ ทั้งสิ้น อันนี้เป็นหลักพระศาสนา เพราะฉะนั้น จึงมีพุทธพจน์ว่า ทันโต เสฏโฐ มนุสเสสุ แปลว่า ในหมู่มนุษย์ผู้ที่ฝึกแล้วประเสริฐ

 
 

ความรักอย่างปุถุชน"โดย พระพรหมคุณาภรณ์

"ความรักอย่างปุถุชน"
โดย พระพรหมคุณาภรณ์

ความรักประเภทที่หนึ่ง ที่เริ่มต้นของปุถุชน ที่มันจะมีข้อเสียคือว่า ที่รักเขานั้น เพื่อให้เขาเนี่ยมาเป็นเครื่องบำเรอความสุขแก่ตน ถ้าหากว่า ผู้นั้นเขาไม่อยู่ในภาวะที่จะให้เรามีความสุข เราก็จะเบื่อหน่าย แล้วก็อาจจะรังเกียจ จะเห็นได้ว่า ไม่ยั่งยืน

 

 

ยกย่องคนดี"โดย พระพรหมคุณาภรณ์

"ยกย่องคนดี"
โดย พระพรหมคุณาภรณ์

ถ้าคนในสังคมมีค่านิยมที่บูชา ยกย่องให้เกียรติคนดี ในทางพระศาสนา พระพุทธเจ้าก็ย้ำเรื่องนี้ มีคาถาหนึ่งที่บอกว่า บูชาคนที่ฝึกตนแล้ว แม้เพียงครู่เดียว ดีกว่าเซ่นสรวงเทพเจ้า ร้อยปี ว่างั้น นี่เอาขนาดนี้เลยนะ

 
 

คนไทยไม่รังเกียจใคร"โดย พระพรหมคุณาภรณ์

"คนไทยไม่รังเกียจใคร"
โดย พระพรหมคุณาภรณ์


คนไทยนี่ ไม่มีความรังเกียจเดียดฉันท์ คนผิวเผ่าไหน ลัทธิศาสนาไหน ก็อยู่กันได้ดี เป็นอย่างนี้มาตลอด เป็นเวลายาวนานแล้วนะ ปรับตัวเข้ากับทุกคนได้ แล้วที่เป็นอย่างนี้ได้ก็เพราะพระพุทธศาสนา

 

 

ความคิดเห็นกับความรู้"โดย พระพรหมคุณาภรณ์

"ความคิดเห็นกับความรู้"
โดย พระพรหมคุณาภรณ์

การแสดงความเห็นนั้น มันต้องมาคู่กับการหาความรู้ อย่างการศึกษาปัจจุบันเนี่ย บอกว่า เอ้อ เด็กไทยนี่ไม่ค่อยชอบแสดงความคิดเห็น ต้องสนับสนุนให้แสดงความคิดเห็น อย่าลืมว่าการแสดงความคิดเห็นนั้นต้องตั้งอยู่บนฐานของความรู้

 
 

พระสงฆ์ต้องรักษาธรรม"โดย พระพรหมคุณาภรณ์

"พระสงฆ์ต้องรักษาธรรม"
โดย พระพรหมคุณาภรณ์

ธรรมดาทหาร ต้องมีความกล้าหาญ ถ้าทหารไม่มีความกล้าหาญ ก็ไม่ควรเรียกว่าเป็นทหาร แต่ในทำนองเดียวกัน พระสงฆ์ก็มีหน้าที่ต้องรักษาธรรม ถ้าพระสงฆ์ไม่รักษาธรรม ก็เรียกไม่ได้ว่า เป็นพระสงฆ์

 
 

ทิฏฐิมานะ"โดย ท่านว.วชิรเมธี

"ทิฏฐิมานะ"
โดย ท่านว.วชิรเมธี

ชนกลุ่มใดก็ตามมีทิฏฐิมาก มีมานะเข้มข้น ชนกลุ่มนั้นจะแตกความสามัคคี ที่เราหันมารอมชอมกันไม่ได้เพราะอะไร เพราะต่างฝ่ายต่างก็มีทิฎฐิ คือมีความเชื่อว่าฉันถูก พอมีความเชื่อว่าฉันถูก มานะก็ตามมานั่นก็คือ เรื่องอะไรฉันจะต้องขอโทษ เรื่องอะไรฉันจะต้องสามัคคี

 
 

การแตกความสามัคคี"โดย ท่านว.วชิรเมธี

"การแตกความสามัคคี"
โดย ท่านว.วชิรเมธี

ตกลงไม่มีใครฟังใครแล้ว ในเมืองไทยในตอนนี้ นี้คือการแตกสามัคคี บ้านเมืองที่แตกสามัคคีใครไม่ตีก็แตก แต่บ้านเมืองที่สมัครสมานสามัคคี ต่อให้ใครยกมาตี ก็ไม่มีทางแตก

 
 

ความสามัคคี1"โดย ท่านว.วชิรเมธี

"ความสามัคคี1"
โดย ท่านว.วชิรเมธี

ความสามัคคี สุขา สังฆัสสะ สามัคคี ความสามัคคีคือ วิธีที่จะทำให้หมู่คณะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข เพราะถ้าแตกสามัคคีเมื่อไร ก็วุ่นวายกันเมื่อนั้น

 โดย ท่านว.วชิรเมธี

 

โลกทั้งผองพี่น้องกัน"โดย ท่านว.วชิรเมธี

"โลกทั้งผองพี่น้องกัน"
โดย ท่านว.วชิรเมธี

โลกทั้งผองพี่น้องกัน อย่าไปติดอยู่ที่ศาสนา ชาติ ลัทธิ ผิวพรรณ วรรณะ สีเสื้อที่เราสวมใส่ แต่ให้ก้าวข้ามเปลือกของความเป็นมนุษย์เหล่านี้ทั้งหมด ไปถึงคุณค่าที่แท้จริงที่อยู่ในใจของเราทุกคน คิดได้อย่างนี้เมื่อไร เราจะเป็นคนที่มีความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ที่สุด

 
 

ตาข่ายของอคติ"โดย ท่านว.วชิรเมธี

"ตาข่ายของอคติ"
โดย ท่านว.วชิรเมธี

คนไทยเนี่ย รักคนไทยได้ทั้งประเทศแหละ เราเป็นสยามเมืองยิ้ม เป็นพี่น้องกัน ตั้งแต่เชียงรายถึงสุไหงโกลก แต่พอเราเลือกข้าง ใจของเราจึงแคบเข้ามาถนัด เราเลือกเชื่อเฉพาะ สิ่งที่สอดคล้องกับแนวคิดของเรา เราเลือกคบเฉพาะคนที่คิดเหมือนกันกับเรา นั่นทำให้เราตกลงไปอยู่ในตาข่ายของ อคติ

 

 

วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2567

เปลี่ยนความคิดชีวิตเปลี่ยน1" โดย ท่านว.วชิรเมธี

"เปลี่ยนความคิดชีวิตเปลี่ยน1"
โดย ท่านว.วชิรเมธี

เราเคยเป็นคนชั่วมาก่อน พอเราเปลี่ยนความคิด ให้เป็นสัมมาทิฏฐิแล้ว การกระทำของเราก็เปลี่ยน เราเป็นคนใหม่ได้ในชีวิตนี้ได้ไหม ไม่ต้องรอจนตายแล้วเราจึงจะเป็นคนใหม่ ถ้าเราเปลี่ยนวิธีคิดได้ชีวิตของเราทั้งชีวิตจะเปลี่ยนทั้งหมด ผลของชีวิตทั้งหมดก็จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เพราะอะไร ชีวิตเป็นผลผลิตของความคิด

 

 

ความรักหรือความใคร่" โดย ท่านว.วชิรเมธี

"ความรักหรือความใคร่"
โดย ท่านว.วชิรเมธี

ทุกวันนี้ หน้าเป็นห่วงว่าวัยรุ่นของเราเนี่ย ฉกฉวยโอกาส ใช้ความใคร่ในนามของความรัก อาตมาอยากให้เราตั้งคำถามใหม่ว่า อะไรคือสิ่งที่เรียกว่าความรัก อะไรคือสิ่งที่เรียกว่าความใคร่ อย่าใช้ความใคร่ในนามของความรัก อย่าใช้ความรักในนามของความใคร่

 

หลักของการนึกไกล"โดย ท่านว.วชิรเมธี

"หลักของการนึกไกล"
โดย ท่านว.วชิรเมธี

หลักของการนึกไกล มีอยู่ว่า ทุกๆครั้ง ที่เรากำลังจะได้อะไร ให้ถามต่อไปว่า แล้วคนอื่นเสียอะไรไปบ้าง แล้วคำถามประจำวันของเราก็คือ อย่าถามว่าฉันจะได้อะไร แต่จงถามว่าแล้วฉันจะให้อะไรแก่คนอื่นได้บ้าง

 

 

ชีวิตคนอยู่ที่กรรม"โดย ท่านว.วชิรเมธี

"ชีวิตคนอยู่ที่กรรม"
โดย ท่านว.วชิรเมธี

พระพุทธเจ้า ท่านก็จะพูดไว้ชัดว่า ชีวิตคนจะเป็นอย่างไรอยู่ที่กรรม ดวงดาวเป็นเรื่องของดวงดาว หรือคนโง่เขลา มัวคอยแต่ ให้ฤกษ์ยามกำหนดวิถีชีวิต ในขณะที่คนฉลาดเขาสามารถเลือกที่จะดำเนินชีวิตอย่างไรก็ได้

 

 

การตัดความทุกข์"โดย ท่านว.วชิรเมธี

"การตัดความทุกข์"
โดย ท่านว.วชิรเมธี


ความทุกข์ที่เรามีอยู่ในชีวิต ทั้งหลายทั้งปวงกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ เป็นความทุกข์ที่เกิดขึ้น เพราะความครุ่นคิดของเราเอง ถ้าเราออกจากความวิตกหรือความตกเป็นทาสของความคิดได้ ด้วยการอยู่กับปัจจุบัน คุณสามารถตัดความทุกข์ได้ เหมือนกับคุณ มีเซฟทีคัตในตัว

 
 

กติกาชีวิต"โดย ท่านว.วชิรเมธี

"กติกาชีวิต"
โดย ท่านว.วชิรเมธี

คือมนุษย์ส่วนใหญ่ บางทีใช้ชีวิต โดยที่ไม่ยอมรับรู้กติกา พออกหักปุ๊บ ฆ่าตัวตาย นี่เรียกว่าโง่มากคุณต้องรู้นะว่ากติกาของการเป็นคนคืออะไร มันมีสมหวัง มีผิดหวัง มีขึ้นมีลง มีสุขมีทุกข์ มีสรรเสริญ มีนินทา มีได้มีเสีย สิ่งเหล่านี้คือกติกาชีวิต

 
 

เราเกิดมาเพื่อเรียนรู้"โดย ท่านว.วชิรเมธี

"เราเกิดมาเพื่อเรียนรู้"
โดย ท่านว.วชิรเมธี

 
เราเกิดมาเพื่อที่จะเรียนรู้ ถ้าเรากำลังมีความรัก เรากำลังเรียนรู้เรื่องความรักอยู่ ดังนั้นถ้าเราไปรักเขาแล้วอกหัก เราก็เรียนรู้ว่าอ๋อ! เราได้เรียนบทเรียนเรื่องการอกหักนะ รสชาติมันจะเป็นอย่างนี้นะ จิตใจมันจะเป็นอย่างนี้นะ ทุกๆครั้งของความผิดพลาดมันควรจะเป็นครูให้เรา

 

 

ทุกสิ่งคือธรรมะ"โดย ท่านว.วชิรเมธี

"ทุกสิ่งคือธรรมะ"
โดย ท่านว.วชิรเมธี

ธรรมะ ไม่ใช่สิ่งที่ออกมาจากปากของพระนะ และธรรมะ ไม่ใช่ภาษาบาลีเท่านั้นนะ จริงๆธรรมะคือทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเรา เห็นใบไม้พลิ้วไหวหนึ่งใบแล้วหล่นจากขั้วตกลงมาพื้นดิน สิ่งนี้คืออนิจจังความไม่เที่ยงใช่ไหม ทำไมเราจึงมองไม่เห็นว่ามันเป็นธรรมะ เพราะว่าเราขาดตา คือปัญญา

 
 

ความรักทำให้ตาบอด"โดย ท่านว.วชิรเมธี

"ความรักทำให้ตาบอด"
โดย ท่านว.วชิรเมธี

มีคนเป็นจำนวนมาก ที่ยอมทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อทุ่มเทให้กับความรักหรือคนรัก แต่พอช่วงเวลาที่ฉ่ำหวานผ่านไปแล้วกลับพบว่า สิ่งที่ตัวเองเอาทุกสิ่งทุกอย่างลงไปแลกนั้น ได้ไม่คุ้มเสีย เพราะอะไร? คือช่วงนั้นน่ะเรียกว่าช่วง ความรักทำให้ตาบอด ก็หมายถึงตาปัญญานั่นเอง ตาปัญญามันบอด

 

 

สังคมฟองสบู่"โดย ท่านว.วชิรเมธี

"สังคมฟองสบู่"
โดย ท่านว.วชิรเมธี


สังคมไทย เป็นสังคมซึ่งนิยมฟองสบู่ ฟองสบู่เวลาเป่าแล้วมันสวยงาม แต่สักพักหนึ่งมันก็แตก เราไม่ควรจะเป็นสังคมฟองสบู่นะ เราควรจะเป็นสังคมข้าวกล้อง ซึ่งไม่หรูนัก แต่ว่ามีคุณค่าจริงๆ

 

 

ปัญหามีไว้แก้"โดย ท่านว.วชิรเมธี

"ปัญหามีไว้แก้"
โดย ท่านว.วชิรเมธี

ทุกๆ ปัญหามีสาเหตุ ทุกๆ สาเหตุก็มีทางออก และทุกๆ ทางออกนี้ รอให้คนมาเปิดเผยให้เห็นเท่านั้นเอง สรุปเป็นแนวคิดง่ายๆ ก็คือ ทุกปัญหาย่อมมีเฉลย ปัญหามีไว้แก้ไม่ใช่มีไว้แบก

 

 

ทุกข์ต้องกำหนดรู้"โดย ท่านว.วชิรเมธี

"ทุกข์ต้องกำหนดรู้"
โดย ท่านว.วชิรเมธี

ถ้าเกิดปัญหาขึ้นมาในชีวิต ให้กำหนดรู้ว่า ความทุกข์ที่เราเจออยู่นี้ มันคืออะไรแน่ แต่คนส่วนใหญ่เวลาเป็นทุกข์ เวลาเกิดปัญหานี่ หลอมรวมตัวเองเข้าเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาแทนที่ทุกข์จะมีไว้สำหรับเห็น ก็กลับกันกลายเป็นทุกข์มีไว้สำหรับเป็น

 

 

เข้าใจตัวเองเข้าใจโลก"โดย ท่านว.วชิรเมธีเข้าใจตัวเองเข้าใจโลก"โดย ท่านว.วชิรเมธี

"เข้าใจตัวเองเข้าใจโลก"
โดย ท่านว.วชิรเมธี

เมื่อเข้าใจตัวเอง ก็เข้าใจคนอื่น เมื่อเข้าใจคนอื่น ก็เข้าใจคนทั้งโลก เหมือนเราไปตักน้ำเค็มจากทะเลมาดื่มเข้าไปอึกหนึ่ง จากนั้นไปดื่มน้ำทะเลทั่วโลก ไม่สงสัยเลยเค็มเหมือนกันหมด รู้จักน้ำทะเลหยดเดียวเข้าใจน้ำทะเลทั่วโลก

 

 

คิดดีทำดีคิดชั่วทำชั่ว"โดย ท่านว.วชิรเมธี

"คิดดีทำดีคิดชั่วทำชั่ว"
โดย ท่านว.วชิรเมธี


หากเราคิดดี มีจิตใจผ่องใส การพูดของเราก็ดี การทำของเราก็ดี และเพราะผลของการคิดดี พูดดีและทำดีนั้น ความสุขก็ติดตามตัวเรา หากเราคิดชั่ว ก็จะพูดชั่ว และทำชั่ว ทุกข์ก็จะติดตามเรา ดังหนึ่งล้อเกวียน หมุนเวียนตามรอยเท้าโค

 

 

ใจเป็นใหญ่"โดย ท่านว.วชิรเมธี

"ใจเป็นใหญ่"
โดย ท่านว.วชิรเมธี

ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ใจสำคัญที่สุด หากว่าเราคิดดี หรือมีใจผ่องแผ้ว การพูด การทำก็ดีตาม เสมือนเงาตามตัว แต่ว่าหากเราคิดชั่ว ทำชั่ว การพูดการทำของเรา มันก็เสียตาม เหมือนกับล้อเกวียนหมุนเวียนตามรอยเท้าโค

 

 

ความกตัญญู2"โดย ท่านว.วชิรเมธี

"ความกตัญญู2"
โดย ท่านว.วชิรเมธี

คุณประสบความสำเร็จในทุก ๆ ด้าน แต่ถ้าไม่ประสบความสำเร็จ สาขาการเป็นลูกกตัญญู ก็ยังชื่อว่าเป็นมนุษย์ที่ล้มเหลว ขอฝากคำว่า ร้อยความดี ความกตัญญูมาเป็นที่หนึ่ง และความกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี เอาไว้เป็นถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์ในชีวิตของเราท่านทุกท่านทุกคนไว้ในที่นี้ด้วย

 

 

ความกตัญญู1"โดย ท่านว.วชิรเมธี

"ความกตัญญู1"
โดย ท่านว.วชิรเมธี

 
ดอกไม้ที่หอมที่สุด สำหรับคนเป็นพ่อเป็นแม่ คือ ดอกไม้ที่ชื่อลูกกตัญญู ดอกไม้ที่เหม็นที่สุด สำหรับคนเป็นพ่อเป็นแม่ คือ ดอกไม้ที่ชื่อลูกเนรคุณ พ่อแม่จะมีความสุขที่สุด ถ้าได้เห็นว่าลูกตัวเองนั้นเป็นลูกที่มีความกตัญญู

 

 

กตัญญูต่อพระมหากษัตริย์"โดย ท่านว.วชิรเมธี

"กตัญญูต่อพระมหากษัตริย์"
โดย ท่านว.วชิรเมธี

ทำอย่างไร เราจึงจะกตัญญูต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็ตอบได้สั้น ๆ ว่า ถ้ารักในหลวงก็ปฏิบัติธรรม เรารักในหลวง เรารักสถาบันกษัตริย์ เราต้องช่วยกันเป็นคนดี พระมหากษัตริย์จะมีความสุขที่สุดถ้ามองเห็นพสกนิกรของพระองค์เป็นคนมีศีลมีธรรม

 

 

สงครามกลางเมือง"โดย ท่านว.วชิรเมธี

"สงครามกลางเมือง"
โดย ท่านว.วชิรเมธี

ทรัพย์สมบัติ นั้นเป็นแค่ของสมมติน่ะ เป็นของใช้ชั่วคราว มันแค่ของใช้ไม่ใช่ของฉัน อย่าไปยึดติด มีของดีให้แบ่งกันกิน ให้แบ่งกันใช้ พอเราคิดว่ามีของดี ฉันจะกินคนเดียว ฉันจะใช้คนเดียว คนอื่นเขาไม่ได้กินด้วย เขาก็ต้องแย่งไง พอแย่งก็เกิดสงคราม มันน่าเศร้าที่สุดก็ตรงที่มันเป็นสงครามกลางเมือง

 
 

เราแย่งชิงสิ่งสมมติ"โดย ท่านว.วชิรเมธี

"เราแย่งชิงสิ่งสมมติ"
โดย ท่านว.วชิรเมธี


เรารักผลประโยชน์ มากกว่ารักชาติ ต้องให้คนเล็กคนน้อย ตายอีกเท่าไหร่ เราจึงจะสำนึกว่าผลประโยชน์ที่เราแย่งชิง แท้ที่จริงมันเป็นสิ่งสมมติ แต่เพราะผลของการแย่งชิงเงินทองข้าวของ ซึ่งเราเรียกมันว่า ผลประโยชน์ นี่ ก่อให้เกิดการฆ่ากันระหว่างคนไทย

 
 

เพียงเพราะผลประโยชน์"โดย ท่านว.วชิรเมธี

"เพียงเพราะผลประโยชน์"
โดย ท่านว.วชิรเมธี

การกตัญญูต่อชาตินั้น ทำได้ด้วยการไม่แตกสามัคคี ณ เวลานี้ คนไทยกำลังอกตัญญูต่อชาติไทย เพราะเราแตกสามัคคีกันเป็นเสี่ยง ๆ ๆ ไปหมดเลย ไปกันคนทิศคนละทางหมดเลย อะไรทำให้เราแตกสามัคคี ผลประโยชน์ ผลประโยชน์คำเดียวเท่านั้นเอง

 

 

ทรัพยากรมีอยู่จำกัด"โดย ท่านว.วชิรเมธี

"ทรัพยากรมีอยู่จำกัด"
โดย ท่านว.วชิรเมธี

ในการบริโภคทรัพยากร เราจะต้องตระหนักรู้ความจริง อยู่อย่างหนึ่งว่า ทรัพยากรมีอย่างจำกัด แต่ตัณหาของเราไม่จำกัด ถ้าเราวิ่งตามตัณหา โลกจะพังทลายก่อนที่เราจะตายเสียด้วยซ้ำ ฉะนั้น เมื่อทรัพยากรมีจำกัด เราก็ควรจะจำกัดความอยากของตัวเอง ใช้ชีวิตด้วยความจำเป็น อย่าไปใช้ชีวิตด้วยความอยาก


 

ระวังกลียุค"โดย ท่านว.วชิรเมธี

"ระวังกลียุค"
โดย ท่านว.วชิรเมธี

ความมั่งคั่งของเรา เท่าที่เรามีนี้ ถ้าเราอยู่กันไปแบบปรานีปราศรัย แบบฉันพี่ฉันน้องแบบฉันมิตร เมืองไทยจะไม่เกิดกลียุค แต่ถ้าเรามีโลกทัศน์ที่ผิด เราแย่งกันกินเราแย่งกันใช้แบบไม่ปรานีปราศรัย สุดท้ายจะเกิดกลียุคขึ้นที่บ้านเมืองซึ่งอุดมสมบูรณ์ที่สุด

 
 

วันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ล้างใจ"โดย หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ

"ล้างใจ"
โดย หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ

ไม่โต้ตอบด้วยความชั่ว ไม่เอาน้ำสกปรกมาล้างสิ่งสกปรก แต่เอาน้ำสะอาดมาล้างสิ่งสกปรก สถานที่นั้นก็จะสะอาด ปราศจากสิ่งชั่วร้ายขึ้นได้

 

 

คนไทยใจอย่าแคบ" โดย ท่านว.วชิรเมธี

"คนไทยใจอย่าแคบ"
โดย ท่านว.วชิรเมธี
ถ้าใจของเรากว้าง เราจะรักคนได้ทั้งโลก แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา คนไทยนั้นใจแคบนะ ใครที่เห็นต่างจากเรา เราไม่รัก ใครที่ศรัทธานักการเมืองต่างจากเรา เราไม่ชอบ ใครที่สวมเสื้อต่างจากเรา เราพร้อมที่จะลุกไปเข่นฆ่ามัน เป็นกันถึงขนาดนั้น


วิธีคิดของคนเห็นแก่ตัว" โดย ท่านว.วชิรเมธี

วิธีคิดของคนเห็นแก่ตัว"
โดย ท่านว.วชิรเมธี

วิธีไหนไม่สำคัญขอให้ฉันได้ ถ้าฉันได้แล้ว คนอื่นจะเสียอะไร เท่าไร ชั่งหัวมัน นี่คือวิธีคิดของคนเห็นแก่ตัว สังคมไทยที่ยุ่งเหยิงวุ่นวายทุกวันนี้เพราะอะไร มากมายไปด้วยคนที่เห็นแก่ตัว คนที่ถามแต่ว่า ฉันจะได้อะไร แต่ไม่เคยถามว่า ฉันจะให้อะไร

 
 

เมื่อมีความผูกพัน ยินดีติดอยู่" โดย สมเด็จพระสังฆราช

เมื่อมีความผูกพัน ยินดีติดอยู่"
โดย สมเด็จพระสังฆราช


เมื่อมีความผูกพัน ยินดีติดอยู่ ครั้นสิ่งที่ผูกพันนั้นแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป จึงต้องมีความทุกข์ต่างๆ จึงไม่พ้นทุกข์ไปได้

 

วาจาที่ควรเว้น" โดย สมเด็จพระสังฆราช

"วาจาที่ควรเว้น"
 โดย สมเด็จพระสังฆราช

ถ้อยคำที่พูดจากัน ก่อให้บังเกิดกิเลสทั้งหลาย กองราคะบ้าง กองโทสะบ้าง กองโมหะบ้าง ดังนี้เป็นวาจาที่ควรเว้น เพราะว่าส่อถึงใจที่ไม่มีสุญญตา คือ ความว่างจากกามและอกุศลกรรมทั้งหลาย



ธรรมะที่ฟัง" โดย สมเด็จพระสังฆราช

"ธรรมะที่ฟัง"
โดย สมเด็จพระสังฆราช

ให้ธรรมะที่ฟังนั้นเป็นที่เที่ยวไปของใจอย่างสบาย และให้เป็นไปเพื่อที่จะหน่าย หน่ายในสิ่งที่ติด ที่ยินดี อันเป็นตัวกิเลส อันเป็นตัวก่อทุกข์ ให้จิตผ่อนคลาย ความติดใจ ยินดี ในสิ่งที่ไม่ควรติดใจยินดีทั้งหลาย

 

 

จิตที่เป็นปกติ" โดย สมเด็จพระสังฆราช

"จิตที่เป็นปกติ" 
โดย สมเด็จพระสังฆราช

จิตที่เป็นปกติเหมือนอย่างน้ำในแม่น้ำที่ไม่มีลม ก็เป็นน้ำที่ไหลไปเป็นปกติ หรือที่ขังอยู่เป็นปกติ เกิดเป็นระลอกคลื่น ความที่เป็นปกติเหล่านี้คือศีล



การปฏิบัติธรรม" โดย สมเด็จพระสังฆราช

"การปฏิบัติธรรม"
 โดย สมเด็จพระสังฆราช

การปฏิบัตินั้นอย่าไปมุ่งว่า จะต้องละกิเลสได้ จะต้องสำเร็จ เมื่อนั้นเมื่อนี่นั้นไม่ได้ ผู้ปฏิบัติก็มีหน้าที่ปฏิบัติไป น้อยหรือมากก็ตาม ก็ย่อมจะได้ไปโดยลำดับ และขั้นตอนของการปฏิบัติก็จะเลื่อนขึ้นไปเอง


ความที่ไม่มีโรค คือ กิเลส" โดย สมเด็จพระสังฆราช

"ความที่ไม่มีโรค คือ กิเลส"
 โดย สมเด็จพระสังฆราช

ความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่งทางพุทธศาสนา จึงมุ่งถึงความที่ไม่มีโรค คือ กิเลส ก็คือ จิตว่างกิเลส ที่เรียกว่า จิตว่าง



การปฏิบัติธรรมะของพระพุทธเจ้า" โดย สมเด็จพระสังฆราช

การปฏิบัติธรรมะของพระพุทธเจ้า"
 โดย สมเด็จพระสังฆราช

การปฏิบัติธรรมะของพระพุทธเจ้าทุกข้อทุกบท จึงเป็นการปฏิบัตินำออกไป จากเครื่องผูกพัน อาลัย ห่วงใย รวมเข้าหมดคือว่า ออกจากกิเลสและกองทุกข์ เป็นเปราะๆ เป็นเรื่องๆ ไปโดยลำดับ



มีจิตใจอ่อนโยนพร้อมที่จะรับฟัง" โดย สมเด็จพระสังฆราช

"มีจิตใจอ่อนโยนพร้อมที่จะรับฟัง"
 โดย สมเด็จพระสังฆราช

คำว่ามีจิตใจอ่อนโยนพร้อมที่จะรับฟัง หมายถึงปราศจากทิฐิมานะ และก็ไม่ได้หมายความว่า จะต้องเชื่อก่อนฟัง ไม่ได้หมายความอย่างนั้น ไม่ต้องบังคับให้เชื่อก่อนฟัง เป็นแต่เพียงว่าพร้อมที่จะฟัง พร้อมที่พิจารณาธรรมะที่จะฟังเท่านั้น



ความไม่รู้เดียงสา" โดย สมเด็จพระสังฆราช

"ความไม่รู้เดียงสา"
 โดย สมเด็จพระสังฆราช

อันความที่รู้เดียงสานี้ มิได้ว่าเฉพาะเด็กเท่านั้น ผู้ใหญ่เอง ถ้าหากว่าไม่มีสติปัญญาที่จะควบคุมตัวเองได้อย่างเพียงพอแล้ว ก็ชื่อว่าไม่รู้เดียงสาตามสมควรเหมือนอย่างเด็กเช่นเดียวกัน



จิตใจฟุ้ง" โดย สมเด็จพระสังฆราช

"จิตใจฟุ้ง" 
โดย สมเด็จพระสังฆราช

ถ้าจิตใจฟุ้งออกไปข้างนอก ไปคิดถึงเรื่องนั้น ไปคิดถึงเรื่องนี้ต่างๆ แล้วหูก็ดับ เมื่อหูดับ ใจก็ดับ สติก็ดับ ปัญญาก็ดับ เพราะไม่ได้ยินถ้อยคำที่แสดงนั้น



เดินเข้าไปในทางอริยมรรค" โดย สมเด็จพระสังฆราช

"เดินเข้าไปในทางอริยมรรค"
โดย สมเด็จพระสังฆราช

เมื่อนำตนเข้าสู่ศีลสมาธิปัญญา ให้จิตเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาดังกล่าว ก็ชื่อว่าเดินเข้าไปในทางอริยมรรคของพระพุทธเจ้า

 


ตั้งสติพิจารณาให้เห็นตาม" โดย สมเด็จพระสังฆราช

"ตั้งสติพิจารณาให้เห็นตาม" 
โดย สมเด็จพระสังฆราช

อันนี้แหล่ะที่ตรัสสอนไว้ว่า อนิจจานุปัสสี ตั้งสติพิจารณาให้เห็นตาม อนิจจาคือความไม่เที่ยง คือความที่มีความเกิดขึ้นปรากฎ มีความเสื่อมสิ้นเป็นปรากฎ เมื่อยังตั้งอยู่ ก็เริ่มแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปโดยลำดับ ไม่มีหยุดยั้ง



สังขาร" โดย สมเด็จพระสังฆราช

"สังขาร"
โดย สมเด็จพระสังฆราช

เค้าเป็นสังขาร เป็นสิ่งผสมปรุงแต่งที่ต้องเป็นไปตามธรรมดาทั้งนั้น แต่บุคคลไปยึดเอามา เป็นตัวเราของเรา จึงได้บังเกิดความทุกข์ต่างๆ แต่เมื่อตั้งสติ ตามดู ตามรู้ ตามเห็น ให้รู้เห็นตามเป็นจริงได้แล้ว ก็จะปล่อยวางได้

 


ความเสื่อมมาบำเพ็ญบารมีได้" โดย สมเด็จพระสังฆราช

"ความเสื่อมมาบำเพ็ญบารมีได้"
 โดย สมเด็จพระสังฆราช

แม้เมื่อประสบโลกธรรม ส่วนที่เสีย คือความเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ ก็ใช้ความเสื่อมเหล่านี้มาบำเพ็ญบารมีได้ โดยที่มีขันติ คือความอดทน



เป็นธรรมดาของโลก" โดย สมเด็จพระสังฆราช

"เป็นธรรมดาของโลก" 
โดย สมเด็จพระสังฆราช

แม้ว่าชีวิตจะต้องประสบสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ได้บ้าง เสียบ้าง อันเป็นส่วนที่เรียกว่า โลกธรรม ธรรมะสำหรับโลกก็เป็นธรรมดา เรียกว่าเป็นโลกธรรม คือเป็นธรรมะ หรือเป็นธรรมดาของโลก



ถ้าไม่มีศีล" โดย สมเด็จพระสังฆราช

"ถ้าไม่มีศีล"
 โดย สมเด็จพระสังฆราช

ถ้าไม่มีศีล ก็ไม่มีพื้นสำหรับที่จะตั้งขึ้น ยืนขึ้น ของกุศลธรรมทั้งหลาย รวมทั้งสมาธิและปัญญา หรือสมถะ วิปัสสนา


ที่พึ่งอันประเสริฐ" โดย สมเด็จพระสังฆราช

"ที่พึ่งอันประเสริฐ"
 โดย สมเด็จพระสังฆราช

สรณะ คือที่พึ่งอันประเสริฐ หรืออันอุดมคือสูงสุดนี้ มีแต่พระรัตนตรัย คือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เพียงอย่างเดียว ไม่มีที่พึ่งอื่นที่ประเสริฐสูงสุด


จิตของบุคคลผู้ทรงปัญญา" โดย สมเด็จพระสังฆราช

"จิตของบุคคลผู้ทรงปัญญา"
 โดย สมเด็จพระสังฆราช

จิตนี้ย่อมดิ้นรน กวัดแกว่ง กระสับกระส่าย ระงับห้ามยาก แต่บุคคลผู้ทรงปัญญาย่อมทำจิตให้ตรงได้ เหมือนอย่างช่างศร ดัดลูกศร


จิตเมื่อขาดสติปัญญา" โดย สมเด็จพระสังฆราช

"จิตเมื่อขาดสติปัญญา" 
โดย สมเด็จพระสังฆราช

พระพุทธเจ้าจึงได้ตักเตือนไว้ว่า จิตดิ้นรนกวัดแกว่งกระสับกระส่าย รักษายาก ห้ามยาก เป็นเครื่องสกิดใจของบุคคล ว่าจิตมีลักษณะเป็นอย่างนี้ และก็เป็นสิ่งที่รักษายาก ห้ามยาก ในเมื่อขาดสติปัญญา 



กิเลสซ้อนกิเลส" โดย สมเด็จพระสังฆราช

"กิเลสซ้อนกิเลส"
โดย สมเด็จพระสังฆราช

คนสามัญนั้นรักกิเลส รักราคะหรือโลภะ รักโทสะ รักโมหะ เป็นกิเลสซ้อนกิเลส เพราะมิได้หัดข่มจิต แต่ให้กิเลสเองเป็นฝ่ายข่มเหงจิต ข่มขู่จิต ให้กิเลสเองเป็นฝ่ายที่รังแกจิต ซ้ำกับรักกิเลสซึ่งเป็นภูมิข่มเหง เป็นผู้รังแกอีกด้วย

 


บัณฑิตทั้งหลายย่อมฝึกตน" โดย สมเด็จพระสังฆราช

"บัณฑิตทั้งหลายย่อมฝึกตน"
โดย สมเด็จพระสังฆราช

คนขายน้ำย่อมขายน้ำ ช่างศรย่อมถากลูกศร ช่างไม้ย่อมถากไม้ บัณฑิตทั้งหลายย่อมฝึกตน

 

ผู้มีใจสูง มีมานะสูง" โดย สมเด็จพระสังฆราช

"ผู้มีใจสูง มีมานะสูง" 
โดย สมเด็จพระสังฆราช

เกิดมาเป็นคนก็มีปัญญาที่เกิดมากับชาติ คือความเกิด ดีกว่าสัตว์เดรัจฉาน จึงรับรู้การฝึก เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่า มนุษย์ ที่แปลว่า ผู้มีใจสูง มีมานะสูง 



ผู้เป็นบัณฑิต" โดย สมเด็จพระสังฆราช

"ผู้เป็นบัณฑิต"
โดย สมเด็จพระสังฆราช
ผู้เป็นบัณฑิตจึงถากไสตัวเอง ดัดตัวเอง ไม่ต้องให้คนอื่นมาคอยถาก คอยไส คอยหมั่นพิจารณาตัวเอง ให้รู้ดีรู้ชั่วในตัวเอง ปฏิบัติที่จะละชั่ว ทำดีด้วยตัวเอง ดูดังนี้

 


จิตที่ตั้งไว้ผิด" โดย สมเด็จพระสังฆราช

"จิตที่ตั้งไว้ผิด"
 โดย สมเด็จพระสังฆราช

จิตที่ตั้งไว้ผิดย่อมนำให้เกิดบาปวิบัติยิ่งไปกว่า บาปวิบัติภัยอันตรายที่โจรจะพึงกระทำให้แก่โจร หรือว่าที่คนมีเวรจะกระทำให้แก่คนมีเวร 


เราไม่ควรเกิดมาสร้างปัญหา"โดย หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ

"เราไม่ควรเกิดมาสร้างปัญหา"
โดย หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ

เราไม่ควรเกิดมาสร้างปัญหา แต่เกิดมาช่วยแก้ปัญหา การแก้ปัญหาก็ต้องแก้ที่ตัวเรา

 
 

กิเลส"โดย หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ

"กิเลส"
โดย หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ

กิเลสทุกประเภท เมื่อเกิดขึ้นในใจของเราแล้ว ทำให้เราโง่ เรามืด เราบอด เราไม่มีปัญญา ไม่มีแสงสว่าง สำหรับที่จะพิจารณาอะไรให้มันถูกต้อง ตามสภาพที่เป็นจริง นั่นคือ ความมืด ความโง่ โมหะ ความมืดเรียกว่า โมหะ

 

 

กอดวัตถุที่มันเป็นพิษ"โดย หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ

"กอดวัตถุที่มันเป็นพิษ"
โดย หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ

เราก็ควรรู้ว่า ที่เป็นทุกข์เพราะว่า เราไปเอาสิ่งที่มันควรจะผ่านไปแล้วเอามาคิดอยู่อีก ไม่ให้มันผ่านไป ไม่ให้มันล่วงเลยไป ถึงเอามาคิดมาฝันต่อไป แล้วก็เป็นทุกข์ เหมือนกับเราหลงกอดวัตถุที่มันเป็นพิษ

 

 

การมาวัด"โดย หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ

"การมาวัด"
โดย หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ

เรามาวัด นี่ก็เพื่อมาศึกษาหาความรู้ ความเข้าใจ เพื่อจะปรับปรุงจิตใจของเราให้ดีขึ้น เพื่ออะไร ก็เพื่อให้เรามีความสุข มีความสงบตามสมควรแก่ฐานะ

 
 

ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว"โดย หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ

"ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว"
โดย หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ

ทำดีได้ความดี ทำชั่วได้ความชั่ว ทำเหตุให้เกิดทุกข์ก็ได้ความทุกข์ ทำเหตุให้เกิดสุขก็ได้ความสุข ทำเหตุให้เกิดความเสื่อมเราก็ได้ความเสื่อม ทำเหตุให้เกิดความเจริญเราก็ได้ความเจริญ เราหนีจากผลที่เราทำไว้ไม่ได้

 
 

ทำเพื่อชาติ"โดย หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ

"ทำเพื่อชาติ"
โดย หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ

เรามีชีวิตอยู่ในบ้านในเมือง ควรจะทำอะไรช่วยชาติช่วยบ้านเมืองกันบ้าง ไม่ยากอะไรเลย คือให้ทุกคนตั้งใจกระทำความดี ตามหน้าที่ๆเรามี เราเป็นอยู่

 

 

อย่าใช้อำนาจ อย่าใช้อิทธิพล"โดย หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ

"อย่าใช้อำนาจ อย่าใช้อิทธิพล"
โดย หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ

เราจะอยากได้อะไร อย่าใช้ความข่มขู่ อย่าใช้อำนาจ อย่าใช้อิทธิพล เพื่อไปเอาอะไรจากคนนั้น เพราะการกระทำเช่นนั้นเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง เราควรจะพูดจาประนีประนอม ค่อยพูดค่อยทำความเข้าใจกัน

 
 

ความเข้มแข็ง"โดย หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ

"ความเข้มแข็ง"
โดย หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ

พระพุทธศาสนาไม่ทำคนให้อ่อนแอ แต่ว่าทำคนให้เข้มแข็ง ให้อดทน ให้ควบคุมตนเองได้ ให้ต่อสู้กับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราได้

 
 

ทำอะไรไว้หนีไม่พ้น"โดย หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ

"ทำอะไรไว้หนีไม่พ้น"
โดย หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ

เราทำอะไรไว้หนีไม่พ้น เพราะฉะนั้นจะคิดอะไร จะพูดอะไร จะทำอะไร ต้องคิดก่อนว่า มันถูกหรือผิด มันดีหรือชั่ว มันเสื่อมหรือมันเจริญ ต้องคิดให้รอบคอบ

 โดย หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ

 

เรื่องธรรมชาติ"โดย หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ

"เรื่องธรรมชาติ"
โดย หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ

ธรรมชาตินี่มันไม่ได้ทารุณตลอดไปหรอก มีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ตามกฏของธรรมชาติ เราอย่าไปยินดียินร้ายกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงนั้น มองให้เห็นความจริงของธรรมชาติแล้วก็มันก็สบายดี

 
 

เห็นกงจักรเป็นดอกบัว"โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ

"เห็นกงจักรเป็นดอกบัว"
โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ

คนเดี๋ยวนี้มันโง่ เอาดีเป็นชั่วเอาชั่วเป็นดี เอาสุขเป็นทุกข์เอาทุกข์เป็นสุข กลับกันหมด มันเหมือนกับคนโง่ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ที่เราไปชอบอะไรอบายมุขทั้งหลายที่หนาแน่นขึ้นทั่วบ้านทั่วเมืองอบายมุขเหล่านั้นเป็นกงจักร แต่มาเห็นเป็นดอกบัว

 
 

อ้างบุญเพื่ออบายมุข"โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ

"อ้างบุญเพื่ออบายมุข"
โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ

ทอดกฐินเพื่อกินเหล้า เพื่อเล่นไพ่ เอาอบายมุขมาเป็นบุญ มาเป็นกุศล มาล่อให้คนทำบุญ มันก็เป็นเรื่องหลอกลวงกันชัดๆ ฉะนั้นอย่าเอาเลย อย่าเอาเรื่องอบายมุข มาเป็นเรื่องทำบุญเลย ทำบุญ มันต้องสะอาด มันต้องสว่าง มันต้องสงบ

 
 

อย่าต้องเป็นทุกข์"โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ

"อย่าต้องเป็นทุกข์"
โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ

มีเงินก็อย่าเป็นทุกข์ เพราะเงิน มีบุตร ภรรยา สามีก็อย่าต้องเป็นทุกข์ เพราะบุตร ภรรยา สามี มีเกียรติยศชื่อเสียง ก็อย่าต้องเป็นทุกข์ เพราะว่าเกียรติยศชื่อเสียง มีอะไรก็อย่าต้องเป็นทุกข์เพราะสิ่งนั้น นั่นแหละคือมีธรรมะเข้ามาป้องกันเอาไว้

 
 

เป็นทุกข์เพราะไม่มีธรรมะ"โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ

"เป็นทุกข์เพราะไม่มีธรรมะ"
โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ


บุคคลที่ไม่มีธรรมะ ต้องเป็นทุกข์ คนที่ไม่มีธรรมะ จะต้องเป็นทุกข์ไปดูเถอะ เพราะมันจะรักนั่น เกลียดนี่ โกรธโน่น กลัวนั่นยุ่งไปหมด มันคิดจนเป็นทุกข์ คิดไปในทางที่ให้เป็นทุกข์ นี่เพราะมันไม่มีธรรมะ

 
 

จิตใจหวั่นไหว"โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ

"จิตใจหวั่นไหว"
โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ

คนโง่มันก็ยังมีจิตใจหวั่นไหว ไปตามที่ฝนตก ฝนไม่ตก แดดออก แดดไม่ออก อะไรต่างๆ นานา เป็นธรรมชาติธรรมดา ตื้นๆ ง่ายๆ นี่มันมีจิตใจเปลี่ยนไป ขึ้นลงมาก จนได้ยินดี ยินร้าย ยินดีก็บ้าชนิดหนึ่ง ยินร้ายก็บ้าชนิดหนึ่ง

 
 

มันเป็นเช่นนั้นเอง"โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ

"มันเป็นเช่นนั้นเอง"
โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ

ในโลกนี้ ถูกเขาสรรเสริญ ก็ตัวลอยฟุ้งเฟ้อไป ถูกเขานินทาด่าว่า ก็มาขัดใจโกรธแค้นอยู่เหมือนกับคนบ้า ได้รับสรรเสริญก็บ้าไปอีกอย่างได้รับนินทาก็บ้าไปอย่าง นี่เพราะมันไม่รู้ว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง คือว่าในโลกต้องเป็นเช่นนี้เอง

 
 

ไตรลักษณ์"โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ

"ไตรลักษณ์"
โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ


คำที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า ตถาคตจะเกิดหรือจะไม่เกิดขึ้น ธรรมธาตุนั้นก็มีอยู่แล้ว ว่าสังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

 

 

ปีใหม่ต้องก้าวหน้าไป"โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ

"ปีใหม่ต้องก้าวหน้าไป"
โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ

การขึ้นปีใหม่ ก็บอกอยู่แล้วว่าไม่ใช่ปีเก่า เพราะฉะนั้น มันไม่ต้องเป็นการซ้ำรอย หรือย่ำเท้าอยู่ในที่เดียว ขอให้มันก้าวหน้าไป ก้าวหน้าไป เรื่อยๆ จนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง

 
 

ศาสนาต้องร่วมมือกัน"โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ

"ศาสนาต้องร่วมมือกัน"
โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ

นั้นขอได้โปรดสนใจไว้เถิดว่า สันติภาพจะมีมาได้ในโลก ก็เพราะว่าศาสนาทั้งหลายร่วมมือกัน กำจัดความเห็นแก่ตัวของคนในโลก และโลกนี้ก็จะมีสันติภาพ

 
 

ไม่ดีใจ-ไม่เสียใจ"โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ

"ไม่ดีใจ-ไม่เสียใจ"
โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ

ดีใจก็ไม่ใช่ปกติ เสียใจก็ไม่ใช่ปกติ ไม่ดีใจ ไม่เสียใจน่ะสบายที่สุด นี่ขอท้า ท้าทุกคนเลยไปคิดดู ไปสังเกตดู เวลาไหนที่เราสบายใจที่สุด เวลานั้นไม่มีความดีใจและไม่มีความเสียใจ มีความเป็นอิสระ ไม่ต้องหัวเราะไม่ต้องร้องไห้

 

 

การศึกษายังไม่สมบูรณ์"โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ

"การศึกษายังไม่สมบูรณ์"
โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ


โลกนี้ก็มีแต่การส่งเสริม ให้สนุกสนาน เอร็ดอร่อยทางกามารมณ์ ทางอะไรจนลืมความถูกต้อง ลืมความกตัญญู ลืมความสามัคคี ลืมความซื่อสัตย์ อย่างที่เคยมีกันมาแต่ก่อน ปัญหาข้างหน้ามันจะมีมากนัก เพราะมันมีความเห็นแก่ตัวเพิ่มขึ้น เพราะการศึกษาที่ไม่สมบูรณ์

 

ถือศีลข้อเดียวพอ"โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ

"ถือศีลข้อเดียวพอ"
โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ

อาตมายืนยันอยู่เสมอว่า โลกยุคปัจจุบันนี้ที่เจริญ ด้วยการศึกษาถือศีลข้อเดียวพอ ไม่ต้องยุ่งยากลำบากหลายข้อ เวียนหัว ศีลข้อเดียวคือ ไม่เห็นแก่ตัวๆ ซึ่งเป็นหัวใจของศาสนาทุกศาสนา



 

เพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย" โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ

"เพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย"
 โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ

ที่อยู่กันอย่าง เพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย นั้นมันหายไป เมื่ออาตมาเล็กๆ ก็ยังรู้สึกว่ายังได้ยินคำว่าเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย เพราะคุณย่า คุณยาย คุณตา จะออกชื่อคำนี้ ทุกค่ำทุกคืน อุทิศส่วนกุศลให้เพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว มันมีแต่ตัวใครตัวมัน ตัวมึงตัวกู

 

 

๑๐๘ มงคลธรรม คำสอนพระสงฆ์

๙๑.คำสอนหลวงปู่บุญจันทร์ กมโล วัดป่าสันติกาวาส จ.อุดรธานี ความเจ็บไม่มีอยู่ที่ใจของเรา  ใจของเราไม่ใช่ความเจ็บ ความเจ็บไม่ใช่ใจของเรานะ  ใจข...