มงคลที่ ๑๐ มีวาจาสุภาษิต
วาจาสุภาษิต คือ อะไร ?
วาจาสุภาษิต หมายถึง คำพูดที่ผู้พูดได้กลั่นกรองไว้ดีแล้ว ด้วยใจที่ผ่องใส มิใช่สักแต่พูด อวัยวะในร่างกายของคนเรานี้ก็แปลก
ตา มีหน้าที่ ดู อย่างเดียว ธรรมชาติให้มา ๒ ตา
หู มีหน้าที่ ฟัง อย่างเดียว ธรรมชาติให้มา ๒ หู
แต่ปาก มีหน้าที่ถึง ๒ อย่าง คือทั้งกินและพูด ธรรมชาติกลับให้มาเพียงปากเดียว แสดงว่าธรรมชาติต้องการให้คนดูให้มาก ฟังให้มาก แต่พูดให้น้อยๆ ให้มีสติคอยระมัดระวังปาก จะกินก็กินให้พอเหมาะ จะพูดก็พูดให้พอดี ลักษณะคำพูดที่พอเหมาะพอดี เป็นคุณทั้งแก่ตัวผู้พูดและผู้ฟัง เรียกว่า วาจาสุภาษิต
องค์ประกอบของวาจาสุภาษิต
๑.ต้องเป็นคำจริง ไม่ใช่คำพูดที่ปั้นแต่งขึ้น เป็นคำพูดที่ไม่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ไม่บิดเบือนจากความจริง ไม่เสริมความ ไม่อำความ ต้องเป็นเรื่องจริง
๒.ต้องเป็นคำสุภาพ เป็นคำพูดไพเราะ ที่กลั่นออกมาจากน้ำใจที่บริสุทธิ์ ไม่เป็นคำหยาบ คำด่า คำประชดประชัน คำเสียดสี คำหยาบนั้นฟังก็ระคายหู แค่คิดถึงก็ระคายใจ
๓.พูดแล้วก่อให้เกิดประโยชน์ เกิดผลดีทั้งแก่คนพูดและคนฟัง ถึงแม้คำพูดนั้นจะจริงและเป็นคำสุภาพ แต่ถ้าพูดแล้วไม่เกิดประโยชน์อะไร กลับจะทำให้เกิดโทษ ก็ไม่ควรพูด
๔.พูดด้วยจิตเมตตา พูดด้วยความปรารถนาดี อยากให้คนฟังมีความสุข มีความเจริญยิ่งๆขึ้นไป ในข้อนี้หมายถึงว่า แม้จะพูดจริง เป็นคำสุภาพ พูดแล้วเกิดประโยชน์ แต่ถ้าจิตยังคิดโกรธ มีความริษยา ก็ยังไม่สมควรพูด เพราะผู้ฟังอาจรับไม่ได้ ถ้วยคำที่กล่าวด้วยจิตขุ่นมัว แม้เพียงประโยคเดียว อาจก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงอย่างไม่อาจประมาณได้
๕.พูดถูกกาลเทศะ แม้ใช้คำพูดที่ดี เป็นคำจริง เป็นคำสุภาพ เป็นคำพูดที่มีประโยชน์ และพูดด้วยจิตที่เมตตา แต่ถ้าผิดจังหวะ ไม่ถูกกาลเทศะ ผู้ฟังยังไม่พร้อมที่จะรับแล้ว จะก่อให้เกิดผลเสียได้ เช่น จะกลายเป็นประจานหรือจับผิดกันไป
-พูดถูกเวลา (กาล) คือ รู้ว่าเวลาไหนควรพูด เวลาไหนยังไม่ควรพูด ควรพูดนานเท่าไร ต้องคาดผลที่จะเกิดขึ้นไว้ด้วย
-พูดถูกสถานที่ (เทศะ) คือ รู้ว่าในสถานที่เช่นไร เหตุการณ์แวดล้อมเช่นไร จึงสมควรที่จะพูด หากพูดออกไปแล้วจะมีผลดีหรือผลเสียอย่างไร
เช่น มีความหวังดีอยากเตือนเพื่อนไม่ให้ดื่มเหล้า แต่ไปเตือนขณะเพื่อนกำลังเมาอยู่ในหมู่เพื่อนฝูง ทำให้เขาเสียหน้า อย่างนี้นอกจากเขาจะไม่ฟังแล้ว เราเองอาจเจ็บตัวได้
“คนฉลาดไม่ใช่เป็นแต่พูดเท่านั้น ต้องนิ่งเป็นด้วย คนที่พูดเป็นนั้น ต้องรู้ในสิ่งที่ไม่ควรพูดให้ยิ่งกว่าสิ่งที่ควรพูด”
ลักษณะของทูตที่ดี ( ทูตสันติ )
๑.ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ไม่ด่วนปฏิเสธ
๒.เมื่อถึงคราวพูดก็สามารถทำให้ผู้อื่นฟัง
๓.รู้จักกำหนดขอบเขตของการพูดให้กะทัดรัด
๔.จำเนื้อความทั้งหมดที่จะพูด
๕.เข้าใจเนื้อความทั้งหมดโดยละเอียด ตามความเป็นจริง
๖.ทำให้ผู้อื่นเข้าใจตามได้
๗.ฉลาดในการพูดที่เป็นประโยชน์ และมิใช่ประโยชน์
๘.ไม่พูดชวนให้เกิดการทะเลาะวิวาท
“ผู้ใดเข้าไปสู่บริษัทที่พูดคำหยาบคาย ก็ไม่สะทกสะท้าน ไม่ยังคำพูดให้เสีย ไม่ปกปิดข่าวสาร พูดจนหมดความสงสัย และเมื่อถูกถามก็ไม่โกรธ ผู้นั้นย่อมควรทำหน้าที่ทูต”
โทษของการด่าบริภาษเพื่อนพรหมจรรย์
ผู้ด่าบริภาษเพื่อนพรหมจรรย์ คือ พระสงฆ์และผู้ปฏิบัติธรรม ติเตียนพระอริยเจ้า จะประสบความฉิบหาย ๑๑ ประการ ต่อไปนี้
๑.ไม่บรรลุธรรมที่ตนยังไม่บรรลุ
๒.เสื่อมจากธรรมที่บรรลุแล้ว
๓.สัทธรรมของภิกษุนั้นย่อมไม่ผ่องแผ้ว
๔.เป็นผู้หลงเข้าใจว่าได้บรรลุสัทธรรม
๕.เป็นผู้ไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์
๖.ต้องอาบัติเศร้าหมองอย่างใดอย่างหนึ่ง
๗.บอกลาสิกขา คือ สึกไปเป็นฆราวาส
๘.เป็นโรคอย่างหนัก
๙.ย่อมถึงความเป็นบ้า คือ ความฟุ้งซ่านแห่งจิต
๑๐.เป็นผู้หลงทำกาละ คือ ตายอย่างขาดสติ
๑๑.เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
ถ้อยคำที่ไม่ควรเชื่อถือ
๑.คำกล่าวพรรณนาคุณ ศรัทธา ของบุคคลผู้ไม่มีศรัทธา
๒.คำกล่าวพรรณนาคุณ ศีล ของบุคคลผู้ทุศีล
๓.คำกล่าวพรรณนาคุณ พาหุสัจจะ ของบุคคลผู้ไม่สดับ
๔.คำกล่าวพรรณนาคุณ จาคะ ของบุคคลผู้ตระหนี่
๕.คำกล่าวพรรณนาคุณ ปัญญา ของบุคคลผู้โง่
ทั้ง ๕ ประการ จัดเป็นคำซึ่งไม่ควรฟัง ไม่ควรเชื่อถือ
ลักษณะเสียงที่สมบูรณ์ของมหาบุรุษ
คนที่มีวาจาสุภาษิตมาข้ามภพข้ามชาติ จะมีลักษณะเสียงที่สมบูรณ์ของมหาบุรุษ ซึ่งมีลักษณะ ดังนี้ คือ
๑.แจ่มใส ไม่แหบเครือ
๒.ชัดเจน ชัดถ้อยชัดคำ ไม่ติดขัด
๓.ไพเราะ อ่อนหวาน
๔.เสนาะโสต
๕.กลมกล่อม
๖.ไม่แตก ไม่พร่า
๗.ซึ้ง
๘.มีกังวาน
อานิสงส์การมีวาจาสุภาษิต
๑.เป็นคนมีเสน่ห์ เป็นที่รักของชนทุกชั้น
๒.มีความเจริญก้าวหน้าทั้งทางโลกและทางธรรม
๓.มีวาจาสิทธิ์ ได้รับความสำเร็จในสิ่งที่เจรจา
๔.ย่อมได้ยินได้ฟังแต่สิ่งที่ดีงาม
๕.ไม่ตกไปในอบายภูมิ
“วาจาสุภาษิต ไม่ว่าจะพูดด้วยสำเนียงภาษาอย่างไรก็ตาม วาจานั้นย่อมเป็นวาจาชั้นสูง ควรแก่การสรรเสริญของบัณฑิต ตรงกันข้าม วาจาทุพภาษิต แม้จะพูดด้วยภาษาใดสำเนียงดีแค่ไหน บัณฑิตก็ไม่สรรเสริญ”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น